วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

10 อันดับภาพยนต์ไซไฟ แฟนตาซี ที่ชาตินี้ต้องไม่พลาดชมเด็ดขาด (ตอนที่ 2)


3) The Terminator (ออกฉายปี 1984)
The terminator หรือคอหนังบ้านเรารู้จักในชื่อไทยว่า คนเหล็ก 2029 เป็นหนังไซไฟแนวหุ่นยนต์จากโลกอนาคตที่ถูกส่งมาตาล่าเพื่อฆ่าคนในอดีตเพื่อ ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ เปลี่ยนอนาคตให้ได้ตามที่ตนต้องการ


The Terminator ออกฉายปี 984 เป็นภาคแรกของซีรี่ยส์คนเหล็ก นำแสดงโดย Arnold Schwarzenegger กำกับโดย James Cameron (ผู้กำกับเรื่อง Avatar)

Terminator 2 : Judgment Day

หลังจากนั้น ปี 1991 Terminator 2 : Judgment Day คือจุด peak ของซีรี่ยส์คนเหล็ก ซึ่งแฟนๆจะตื่นตาไปกับหุ่น T-1000 (นำแสดงโดย Robert Patrick) ซึ่งถูกส่งมาฆ่าจอห์น คอร์เนอร์ เจ้า T-1000 นี่มีจุดเด่นคือเป็นโลหะเหลว สามารถเปลี่ยนรูปได้ตามที่ต้องการ แต่ไม่สามารถเปลี่ยรรูปเป็นวัตถุ เครื่องจักรกลที่ซับซ้อนเช่นปืนหรือระเบิดได้

ดาราที่ร่วมแสดงใน T2
Arnold Schwarzenegger as The Terminator
Linda Hamilton as Sarah Connor
Edward Furlong as John Connor
Robert Patrick as the T-1000
Earl Boen as Dr. Peter Silberman
Joe Morton as Dr. Miles Bennett Dyson
S. Epatha Merkerson as Tarissa Dyson
Castulo Guerra as Enrique Salceda
Danny Cooksey as Tim
Jenette Goldstein as Janelle Voight
Xander Berkeley as Todd Voight
Michael Biehn as Kyle Reese (Special Edition only)

“โดยส่วนตัวเจ้าของ blog คนเหล็กฯ ทั้งสองภาคคือที่จุดของซีรี่ย์เรื่องนี้ ภาคสามหรือสี่ไม่สนุกเท่าสอง
ภาคนี้ ด้าน plot หรือเนื้อหา ความตื่นเต้นยกให้สองภาคแรกเลยครับ ผมค่อนข้างมั่นใจว่า แฟนๆคน
เหล็กน่าจะดูซ้ำไม่ต่ำกว่าสามรอบ”

เราตื่นเต้นอะไรกับคนเหล็กสองภาคนี้?
1) เทคนิคพิเศษหุ่นโลหะเหลว T-1000 และหุ่น Terminator ซึ่งบางซีนเราจะเห็นถึงเครื่องยนต์กลไกในร่างกาย ในปีนั้นเทคนิคแค่นี้ถือว่า เทพ สุดๆ (เทียบกับสมัยนี้ไม่ได้นะครับ เพราะ CGI สร้างได้ทุกอย่างสมัยนั้นยังเทคโนโลยี CGI ยังไปไม่ไกลเท่านี้เลย)
2) เนื้อเรื่อง การเดินทางข้ามเวลา ฉากไล่ล่า ที่มันส์สะใจ ทั้งบนถนนและในโรงงาน
3) ฉากเปิดตัวคนเหล็ก Terminator พร้อมประโยคเท่ห์ๆ “I will be back”
4) DVD หลาย versionทั้งแบบกล่องเหล็ก และแบบเวอร์ชั่นธรรมดาที่ออกตามมาเพียบ มีให้สะสมจนกระเป๋าแห้งกันไปตามระเบียบ…

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รถไฟฟ้ามาหานะเธอ…ฉบับการ์ตูน ออเดิร์ฟจานอร่อยจาก SIC ครับ

จะเชยไปไหมเนี่ย ถ้าผมจะบอกว่า เพิ่งอ่านการ์ตูน รถไฟฟ้ามาหานะเธอ ฝีมือลายเส้นของคุณ เอนก และเล่าเรื่องโดย คุณเกษม?

การ์ตูนรถไฟฟ้าฯ เป็นการ์ตูนของ สนพ. สยาม อินเตอร์ คอมมิค (SIC) ครับ ราคา 45 บาท ในกลุ่มของ CARTOONTHAI STUDIO

อ่านเรื่อง รถไฟฟ้ามาหานะเธอ ฉบับ การ์ตูน

ผลบอลพรีเมียร์ แมนฯยู 0:1 แอสตัน วิลล่า

เมื่อคืนแมนฯยูแพ้แอสตัน วิลล่า คาบ้านครับ! จากลูกโขกของ กาเบรียล อักบอนลาฮอร์ ยังดีที่แพ้แค่หนึ่งลูก…ท่านเป่าผี บอกว่า “ก็แค่วันแย่ๆของทีมแมนฯยูอีกวัน”

อ่านต่อ

Chaw…หนังเกาลีบ้านๆ…เมื่อหมูป่าเขี้ยวตันออกอาละวาดในเกาหลี! ใครสน?

Chaw…หนังเกาลีบ้านๆ…เมื่อหมูป่าเขี้ยวตันออกอาละวาดในเกาหลี! ใครสน?
ผมดูเรื่อง Chaw จบไปเมื่อครู่นี้ครับ…
อ่านเรื่อง Chaw

10 อันดับภาพยนต์ไซไฟ แฟนตาซี ที่ชาตินี้ต้องไม่พลาดชมเด็ดขาด ตอนที่ 1

วันนี้ตื่นมาพร้อมกับอาการงัวเงีย เพราะนอนมากเกินไป ไม่น่าเชื่อว่าอาการนอนเยอะเกินไปแทนที่จะทำให้เราสดชื่นตอนตื่นตอน กลับกลายเป็นว่า ทำให้เรารู้สึกนอนไม่เต็มอิ่มไปซะอย่างนั้น … ทำให้นึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าที่บอกว่า ทางสายกลาง คือการดำเนินชีวิตที่ดีที่สุด ไม่ตึง ไม่หย่อนเกินไป…

อ่านต่อครับ

แนะนำ”เวปสอนวาดการ์ตูน”ครับ คราวนี้มาแบบสอนด้วยคลิป! เจ๋งมากๆ

แนะนำเวปสอนวาดการ์ตูนครับ คราวนี้มาแบบเคลื่อนไหวได้ ชื่อเวป drawing now น่าวนใจมากครับ มีสอนวาดภาพคน สัตว์ แฟนตาซี ภาพการ์ตูนญี่ปุ่น ภาพ 3D หรือภาพสามมิติ

อ่านต่อ

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เทคนิคงานเขียน day 10 : อย่าท้อและเขียนต่อเนื่อง

จดหมายตอบปฎิเสธจาก บก. หนังสือที่เราส่งงานเขียนไปให้พิจารณาคือ แรงกระตุ้น ชั้นดี (สำหรับบางคนคิดว่ามันคือสาส์นบั่นทอนจิตใจและความพยายามจากนรก...) จงเขียนอย่างต่อเนื่อง อย่าหยุดเพราะเรื่องแรกที่ส่งไปไม่ผ่านการพิจารณา ไม่มีนักเขียนคนไหนที่ไม่เคยไม่ได้รับจดหมายปฎิเสธจาก บก. ครับ บางคนใช้เวลาสาม สี่ ปีจึงจะเกิดในวงการนิยาย

เขียนเรื่องหนึ่งจบและส่งไปแล้ว อย่ารอที่จะรู้ผลการพิจารณาก่อน ให้ลงมือเขียนเรื่องที่สองต่อทันทีครับ ยิ่งเขียนมาก ยิ่งเรียนรู้เทคนิคมากขึ้น

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เทคนิคงานเขียน day 9 : ศึกษาวิธี เทคนิคการเขียนจากตำราของนักเขียนชั้นแนวหน้า

อ่านตำราเทคนิคงานเขียนครับ...ผมขอแนะนำเล่มนี้ ของ Stephen King ราชานักเขียนนิยายสยองขวัญ ขายดีไปทั่วโลก



สำนวนการแปลของคุณนพดล นี่ไม่ต้องห่วงเลยครับ สุดยอด... แปลได้มันส์ถึงรักแร้จริงๆ !! เล่มนี้ท่านสตีเฟนคิงก์สอนทุกอย่างเกี่ยวกับงานเขียนจนหมดเปลือก แถมเล่าประวัติตอนเด็กๆและตอนที่เริ่มงานเขียนให้อ่านอีก

เทคนิคงานเขียน day 8 : ปล่อยให้มี"ช่องว่าง"บ้าง

เทคนิคงานเขียน day 8 : ปล่อยให้มีช่องว่างในโครงเรื่องหรือ plot บ้าง

เทคนิคนี้คือขั้นตอนการวางโครเรื่องของแต่ละบทครับ ในการวางโครงเรื่อง เราควรวางไว้ หลวมๆ ไม่ควรใส่รายละเอียดจนมากเกินไป เพราะ การที่เราวางโครงเรื่องไว้ละเอียดจะมีผลทางด้าน"จิตวิทยา"เกี่ยวกับแรงจูงใจที่ทำให้เราเขียนจบครับ

แล้วเกี่ยวกันยังไงหว่า?
เกี่ยวครับ ...(ไม่เกี่ยวก็หลุด แหะๆ)
เมื่อวางโครงเรื่องแบบหลวมๆ เราจะรู้สึกว่า "งานยังไม่จบ" โดยปกติคนเราถ้าทำอะไรค้างไว้จะรู้สึกตะขิดตะขวงใจ และทำให้รู้สึก"อยากจัดการเรื่องที่ค้างให้จบ" เช่นเดียวกัน หลักการเช่นนี้ใช้ได้กับงานเขียนด้วยครับ "วางไว้หลวมๆ" แล้วตอนเขียนจริงค่อยเพิ่มเติมหรือใส่รายละเอียดลงไปก็ได้ครับ

ฟรี Blospot Templates ครับ


ฟรี Blospot Templates ครับ มีเยอะพอควร ไม่หรูมากแต่โอเคเลย
ตามลิงก์นี้ไปเลยครับ
http://www.geckoandfly.com

เทคนิคงานเขียน day 7 : เทคนิคสำคัญทางจิตวิทยา…”เพิ่มความมั่นใจโดยการเขียนให้จบตามแผนที่วางไว้”


“เพิ่มความมั่นใจโดยการเขียนให้จบตามแผนที่วางไว้”


การเขียนเรื่องหรือเขียนนิยาย เกี่ยวข้องกับการสร้างความมั่นใจให้ตัวนักเขียนหรือนักอยากเขียนเองโดยตรงครับ การที่เราได้วางแผนไว้และเริ่มเขียน แต่…เขียนไม่จบสักเรื่อง ยิ่งเขียนหลายเรื่องแต่เขียนไม่จบก็ยิ่งทำลายความมั่นใจของเรา ความมั่นใจในงานเขียนจะลดลงเป็นสัดส่วนโดยตรงกับจำนวนเรื่องหรือนิยายที่เราเริ่มเอาไว้แล้วเขียนไม่จบ… นี่คือข้อเท็จจริงที่สำคัญครับ อ่านต่อ click

งานเขียนนิยายไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราหรือนักเขียนเปรียบเสมือนพระเจ้าที่ต้องสร้าง “โลก” และ “ตัวละคร” ในนิยายขึ้นมาเอง ปล่อยให้ตัวละครแสดงในโลกที่เราสร้างขึ้น บรรยายการกระทำ เหตุการณ์ของพวกเขาออกมาเป็นคำพูด และแม้แต่ฆ่าตัวละครบางตัว ถ้าจำเป็นในตอนจบ

ดังนั้น เทคนิคสำหรับนักเขียนหน้าใหม่คือ…การเขียนนิยายสำหรับนักเขียนหน้าใหม่ ไม่ควรเริ่มเขียนเรื่องยาวๆ ควรเริ่มจากเรื่องสั้นๆซึ่งใช้เวลาไม่มาก พอเราเขียนเรื่องสั้นๆจบเราก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น และจะสั่งสมไปเรื่อยๆตามจำนวนเรื่องที่เราเขียนจบครับ

เทคนิคงานเขียน day 6 : เขียนในแนวที่ชอบและเรื่องที่อยากเขียนจริงๆ

สิ่งสำคัญที่พึงระลึกถึงคือ เรามักทำในสิ่งที่ชอบและอยาก (รัก) ทำได้ดีครับ ดังนั้นไม่เว้นแต่นิยาย เราชอบอ่านนิยายแนวไหนก็ให้เขียนนิยายแนวนั้นก่อนเพราะ

1 เราจะมีข้อมูลเขียนพร้อมที่จะปรับปลี่ยนมาใช้กับนิยายของเรา
2 เรารู้วิธีการดำเนินเรื่องนิยายแนวนั้นๆ (เพราะเราชอบอ่านนี่นา…)
3 เราจะสนุกกับมันเพราะเป็นแนวที่เราชอบ

เมื่อเราเริ่มเขียนนิยายที่เราวางเรื่องไว้ เราจะต้องอยู่กับมันเป็นเดือนๆ บางทีก็เป็นปีๆ ดังนั้นการอยู่กับนิยายที่เราอยากเขียนและสนุกกับมันย่อมดีไปกว่าเรื่องที่เราไม่อยากเขียน แต่ต้องเขียนเพราะ นิยายแนวนั้นมีคนอ่านเยอะ ตลาดกว้าง ถ้าเราจัดอยู่ในกลุ่มนักอยากเขียนประเภทแบบนี้ รับรองว่าเขียนไม่จบแน่ๆครับ เพราะเขียนไปสักพักเราก็จะเบื่อไปก่อน

ใครที่เขียนไปแล้วเริ่มรู้สึกเบื่อที่จะเขียนต่อ ลองถามตัวเองดูว่า ไอ้เรื่องที่เราเขียนอยู่เราอยากเขียน อยากสร้างโลกในนิยาย และตัวละครขึ้นมาจริงๆไหม? ถ้าเรารู้สึกทุกครั้งที่เปิดคอมฯ พลิกหน้ากระดาษคว้าปากกามาเขียน แล้วก็มีเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นมาในหัวว่า “เฮ้อ เบื่อ…นี่ตูต้องเจอกับไอ้ตัวละครตัวนี้อีกเหรอ หรือเฮ้อจะเขียนอะไรต่อดีวะ ไม่เห็นจะน่าสนใจเลย” แนะนำให้คุณรีบหยุดเขียนและเปลี่ยนไปเขียนเรื่องอื่นดีกว่าครับ

เทคนิคงานเขียน day 5 : เขียนทุกวัน…เรื่องของอารมณ์ล้วนๆเลย…

เขียนทุกวัน…พูดง่ายแต่ทำยากครับ

การเขียนนิยายเป็นงานศิลปแขนงหนึ่ง เราคงเคยได้ยินว่า ศิลปินนักวาดรูปมักอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “อารมณ์” (ไม่รู้ร่างกายผลิตออกมาจากต่อมส่วนไหนของร่างกาย จึงมีอิทธิพลต่อการกระทำเรื่องต่างๆของมนุษย์มากขนาดนี้) เพื่อเป็นสิ่งกระตุ้นให้ตัวเองอยากวาดภาพ วันไหนไม่มีอารมณ์อยากวาด อย่าว่าแต่วาดรูปง่ายๆเลย แค่จะหยิบภู่กันขึ้นมาแคะรูจมูกยังไม่อยากทำเลย …

นักเขียนไม่ต่างอะไรไปจากศิลปินครับ… ชอบเอาอารมณ์มาผูกกับนิสัยบังคับให้ตัวเองเขียนอยู่เหมือนกัน วันไหนไม่มีอารมณ์ เผลอๆไม่ได้สักตัวอักษร ยิ่งสมัยนี้ต้องมีขั้นตอนหลายขั้นก่อนจะเขียน เริ่มจากเปิดคอมพิวเตอร์ รอวินโดวส์บู้ท (ทำไม Windows ไม่เปิดปุ๊บติดปั๊บเหมือนทีวีฟะ) เปิด MS Word ขึ้นมาเพื่อลงมือพิมพ์ ยิ่งทำให้ไม่มีอารมณ์หนักไปใหญ่ เพราะยุ่งยากกว่าสมัยก่อนซึ่งแค่ยัดกระดาษขาวลงช่องของพิมพ์ดีดแค่นั้น….ก็ลงมือร่ายเรื่องราวได้แล้ว

ดังนั้นการเขียนให้ได้ทุกวันไม่ใช่ของง่ายที่จะทำสำเร็จกันได้ทุกคน บางคนบอกว่า “สามารถบังคับตัวเองให้เขียนได้ทุกวันแต่งานเขียนที่ปราศจากอารมณ์อยากเขียนมันก็เหมือนหนุ่มหล่อที่เต้นรำบนเวทีกับสาวสวยด้วยอาการแข็งเป็นสากกะเบือ งานที่ออกมาจึงไร้ชีวิตชีวา แบบนี้ไม่เขียนดีกว่า”

แต่ละท่านคงหาคำตอบให้เรื่องนี้ได้ เพราะแต่ละคนมีข้อจำกัดและเอกลักษณ์ นิสัย ภาระหน้าที่ ชีวิตที่ไม่เหมือนกันครับ แต่ท้ายสุดแล้ว สิ่งที่เราต้องการคือเป้าหมายเดียวกัน…เราต้องตอบโจทย์คำถามที่ว่า… “ทำยังไงให้เราเขียนนิยาย เรื่องสั้นได้ทุกวัน?”

เทคนิคงานเขียน day 4 : รักษาคำมั่นสัญญากับตัวเอง

รักษาคำมั่นสัญญากับตัวเอง หลังจากที่วางแผนการเขียนแล้ว การเขียนให้จบตามแผนที่วางไว้เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆครับ เพราะยิ่งเราเขียนทิ้งเขียนขว้าง (เขียนไม่จบนั่นแหล่ะ) มากแค่ไหน ยิ่งทำให้ความมั่นใจเราลดลงแค่นั้น และคุณก็จะมีแนวโน้มที่จะเขียนไม่จบในเรื่องที่ตามมาอีกหลายเรื่อง

เราต้องรักษาคำมั่นที่ให้กับตัวเองไว้ครับ ทำให้ได้ตามแผนที่วางไว้ จะเขียนได้วันละกี่หน้าก็ขอให้เขียน เขียนทุกวันให้พฤติกรรมการเขียนซึมเข้าไปในความรู้สึกและร่างกายเราจนกลายเป็นนิสัย ถึงขั้นที่วันไหนไม่ได้เขียนก็จะทนไม่ได้

เทคนิคงานเขียน day 3 : วางแผนก่อนเขียน

วางแผนก่อนเขียน เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆครับ การเขียนไปโดยไม่มีจุดหมายปลายทาง ย่อมไม่ต่างอะไรกับการขับรถไปเรื่อยๆโดยไม่รู้ว่าจะไปไหน นั่นย่อมทำให้ต้องเปลืองน้ำมันและเสียเวลา… เช่นเดียวกันถ้าไม่วางแผนการเขียนจากประสบการณ์ของผมเองโอกาสที่จะเขียนจบเรื่องนี่จะต่ำมาก เพราะไม่มีแผนให้เป็นตัวคอยจี้บังคับให้เขียนทุกวัน…

การเขียนก็เช่นเดียวกันครับ จะเขียนอะไรก็ต้องวางแผนไว้ก่อน ยกตัวอย่างเช่น จะเขียนนิยายเรื่องนึง มีความยาว 200 หน้า A4 จะให้มีจำนวน 20 บท เราก็กะคร่าวๆว่าจะให้บทละกี่หน้า 200 หน้าก็จะได้บทละ 10 หน้าพอดี คราวนี้ก็มาว่ากันต่อว่า แต่ละบทจะเขียนก็วัน เช่น เขียน 10 วันต่อบท ตกแล้ววันละ 1 หน้า ดังนั้น 200 หน้าก็ใช้เวลา 200 วัน ก็รวมระยะเวลาเขียนร่างแรกทั้งหมดประมาณ6-7เดือนครับ นี่คือนับรวมเสาร์ อาทิตย์เข้าไปด้วย
การวางแผนแบบนี้จะทำให้เรารู้ว่า นิยายของเราจะเขียนจบเมื่อไหร่ครับ และจะใช้เวลาที่เหลืออีกกี่วันเพื่อแก้ไขร่างแรกให้สมบูรณ์มากขึ้น

เทคนิคงานเขียน day 2 : แนวเรื่องที่เขียน

นักอยากเขียนส่วนมาก มักจะเขียนแนวเรื่องที่ตนเองชอบอ่าน เพราะมีข้อมูลสำหรับเขียนเตรียมไว้ในหัวหรือใกล้ตัวเยอะอยู่แล้ว การเขียนแนวเรื่องที่ตัวเองสนใจทำให้ระหว่างเขียนเราจะสนุกกับงานเขียน ไม่รู้สึกทรมานและลื่นใหลในการเขียน
เลือกแนวที่คุณต้องการและลงมือเขียนได้เลย

แนวเรื่องอันได้แก่
แนวไซไฟ แฟนตาซี
แนวผจญภัย
แนวรักกุ๊กกิ๊ก
แนวเพื่อชีวิตหนักๆ
แนวผี เขย่าขวัญ
แนวฆาตรกรรมซ่อนเงื่อน สามสิบตลบ
แนวตื่นเต้นแก้ไขปริศนาแบบเรื่อง ดาวินซี่โค้ด
และอีกหลายๆแนวที่สามารถเขียนได้

เทคนิคงานเขียน day 1 : เขียนทำไม?

เทคนิคงานเขียน day 1 : เขียนทำไม?เขียนทำไม?

คำถามนี้ผู้เขียนหรือผู้อยากจะเป็นนักเขียนสามารถตอบคำถามได้ดีกว่าผม
1 เขียนเพราะอยากเป็นนักเขียน เท่ห์ดี
2 เขียนเพราะอยากได้เงินมาเลี้ยงครอบครัว
3 เขียนเพราะอยากปลดปล่อยจินตนาการ
4 เขียนเพราะยังไม่มีหนังสือนิยายที่เขียนออกมาได้ดั่งใจตนซึ่งอยากจะอ่านแนวนั้น
5 เขียนเพราะว่าง ไม่รู้ทำอะไรดี
6 เขียนเพราะอยากรู้ว่าวงการนักเขียนเป็นยังไง

ไม่ว่าคุณจะเขียนด้วยสาเหตุอะไร สิ่งที่คุณต้องเจอแน่ๆคือ การลงมือเขียน ด้วยสมอง ปากกา สมุดหรือคอมพิวเตอร์ ไม่มีใครเป็นนักเขียนโดยที่ไม่ลงมือเขียน แต่เมื่อไหร่ที่คุณเขียน คุณต้องวางแผนก่อนเขียน มิฉะนั้น คุณจะไม่ต่างอะไรกับการนั่งเรือออกทะเลโดยไม่มีจุดหมายปลายทางหรือแม้กระทั่งเข็มทิศ
จำไว้ว่า…งานเขียนเป็นงานที่ต้องทำคนเดียว คุณต้องสร้างโลกสมมติขึ้นมาและโยนตัวละครลงไปในนั้น

Plot template หรือ เทมเพลตสำหรับโครงเรื่อง

เอาเทมเพลตมาแจกครับ เหมาะสำหรับท่านที่ต้องการเขียนนิยาย เรื่องสั้น โดยวางเรื่องคร่าวๆไว้ก่อน

ใคร

ทำอะไร

ที่ไหน

เมื่อไหร

อย่างไร

ทำไมต้องทำ

โครงเรื่องหลัก (Main plot)

โครงเรื่องย่อย 1 (Sub plot1)

โครงเรื่องย่อย 2 (Sub plot2)

โครงเรื่องย่อย 3 (Sub plot3)

จุดหักมุม

จุดคลี่คลาย

- —- มายกตัวอย่างดีกว่าครับ —- -
ใคร แม๊กกี้สาวนักบัญชี อายุสามสิบ

ทำอะไร อยากมีแฟน ตกหลุมรักหนุ่มก่อสร้าง

ที่ไหน ไซต์งานข้างออฟฟิตหล่อน

เมื่อไหร เมื่อวันหนึ่งในฤดูฝน

อย่างไร หล่อนออกไปซื้อกาแฟสดแล้วเจอหนุ่มก่อสร้างกำลังนั่งกินข้าว

ทำไมต้องทำ แม็กกี้รักหนุ่มก่อสร้างเพราะเขามีร่างกายที่แข็งแรง มีกล้ามโต

โครงเรื่องหลัก (Main plot) แม็กกี้เจอหนุ่มก่อสร้างที่ร้านข้าว

โครงเรื่องย่อย 1 (Sub plot1) ปูมหลังของหนุ่มก่อสร้าง เขาเกลียดผู้หญิงเพราะแม่ทิ้งพ่อกับเขาไป

โครงเรื่องย่อย 2 (Sub plot2) แม็กกี้พยายามหาวิธีคุยกับเขา

โครงเรื่องย่อย 3 (Sub plot3) ….

จุดหักมุม หนุ่มก่อสร้างเป็ยเกย์…

จุดคลี่คลาย แม็กกี้อกหัก ทำใจได้ และคบหนุ่มก่อสร้างเป็นแค่เพื่อน

เทคนิคงานเขียนเรื่องสั้น นิยายจากปู่ “เบน โบวา” (Ben Bova) ตอนที่ 3

เริ่มต้นนิยายที่กลางเรื่อง

เบน โบวา แนะนำให้เราเริ่มต้นนิยายที่กลางเรื่องครับ คือเรามี plot เตรียมไว้ตั้งแต่ต้นจนจบ แทนที่เราจะเขียนโดยเริ่มจากตอนต้นไปเรื่อยๆจนถึงตอนกลางและตอนจบ เราก็จับเอาเหตุการณ์สำคัญที่ตั้งใจจะให้เกิดตอนกลางเรื่องมาขึ้นก่อนเลย สิ่งที่เราจะเล่าคือ ตัวละครกำลังย่ำแย่เพราะถูกปัญหารุมเร้า ส่วนเรื่องแบ็คกราวด์ของตัวละครที่เรา หรือหลายๆคนมักจะเริ่มเล่าตอนแรกนั้น …

เราสามารถนำส่วนนี้แทรกไว้ในเรื่องได้ในทุกๆช่วงครับ เพราะการฮุคหรือ hook ผู้อ่านเอาไว้ด้วยเหตุการณ์สำคัญๆนั้นเป็นเทคนิคการเขียนที่สามารถดึงผู้อ่านให้อ่านหรือพลิกไปหน้าต่อไปได้จนไม่สามารถวางหนังสือลง

(เจ้าของ blog ขอแนะนำเพิ่มเติมครับ ท่านใดที่สนใจการเขียนแบบ hook คนอ่านแบบเทคนิคระดับเซียน ผมแนะนำให้เอา นิยายของ ฮาลาน โคเบน ทุกเล่มมาอ่านครับ)

ในเรื่องสั้น ด้วยความที่หน้ากระดาษจำกัด ดังนั้นการเข้าเรื่องให้เร็วจึงสำคัญกว่าการที่เราจะมาพล่ามบ่นหรือเล่าไปเรื่อยๆ เราสามารถใส่แบ็คกราวด์ รายละเอียดของตัวละครได้จากการกระทำหรือบทสนทนาครับ (Show don’t tell หรือแสดงให้เห็นดีกว่าบอกตรงๆ)

เทคนิคงานเขียนเรื่องสั้น นิยายจากปู่ “เบน โบวา” (Ben Bova) ตอนที่ 2

สวัสดีครับ ผมเรียบเรียง เทคนิคงานเขียนจากปู่เบน ตอนที่หนึ่งไว้นานมากแล้ว ตอนนี้มีเวลาก็เลยนำมาเสนอต่อเทคนิคตนอที่ 4 ต่อครับ ก่อนอื่นต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่า ผมใช้วิธีอ่านแล้วเรียบเรียงเอาเองเพื่อให้อ่านง่าย ไม่ได้แปลจากคำแนะนำหรือต้นฉบับเนื้อความภาษาอังกฤษแบบตรงตามประโยคเป๊ะๆ เริ่มกันเลยดีกว่าครับ

4 เทคนิคการสร้างเรื่องเพื่อเขียนเป็นนิยาย หรือเรื่องสั้น

นิยายหรือเรื่องสั้นจะเกิดขึ้นได้จาก การที่เรามี”ตัวละคร”กับ”ปัญหา”ที่ตัวละครเราต้องเจอ…มีแค่นี้เองครับ ไม่มีอะไรซับซ้อนมากกว่านี้ ถึงแม้ว่าคุณจะสามารถสร้างฉาก เขียนบรรยายประโยคซะสวยหรูหรือสร้างตัวละครได้สมจริงมากแค่ไหน แต่ถ้าเรื่องของคุณ ไม่มี”ตัวละครกับปัญหาที่ตัวละครต้องผจญ” เรื่องของคุณจะถูกปฎิเสธจากบรรณาธิการทันทีครับ ดังนั้นท่องไว้ในใจครับว่า “ตัวละคร+ปัญหา=เรื่องที่จะเล่า” เขียนเป็นสมการง่ายๆแบบนี้แหล่ะครับ…

ตัวละครหลักที่เป็นตัวดำเนินเรื่อง (ไม่ว่าจะเป็นตัวละครผู้หญิงหรือผู้ชาย) จะเรียกว่า “ตัวเอก” หรือภาษาอังกฤษคือ protagonist
จงสร้างตัวละครที่สมจริงครับ เพราะคนอ่านเวลาอ่านนิยายของเราเขาอยากจะเป็นตัวละครในนิยายที่อ่าน (ภาษาชาวบ้านท้ายตลาดเรียกว่า “อิน” กับเรื่องครับ) ถ้าเราสามารถสร้างตัวละครให้ไปอยู่ในใจผู้อ่านได้ เมื่อตัวละครเราโศกเศร้า ผู้อ่านก็จะเศร้าตาม ตัวละครหัวเราะหรือดีใจผู้อ่านก็จะเกิดอารมณ์แบบนั้นตามไปด้วย

จงสร้างตัวละครให้มีปมปัญหาในใจ เพราะผู้อ่านจะรู้สึกสงสารตัวละครตัวนั้นไปด้วย “สร้างตัวละครให้เขามีด้านที่อ่อนแอแทนที่จะมีด้านที่แกร่งแต่เพียงอย่างเดียว” โดยปกติแล้ว คนอ่านจะไม่รู้สึกอะไรถ้าตัวละครของเราไม่มีด้านที่อ่อนแอเลย (ภาษาชาวบ้านอีกแล้ว…เรียกว่า ไม่มีใครดีพร้อม เก่งไปซะหมด แม้แต่ซุปเปอร์ฮีโร่ในการ์ตูนของ Marvell เองก็ตามครับ ก็ต้องมีจุดอ่อน อย่างพี่ซุปเปอร์แมนสุดหล่อของเราก็แพ้แท่งคลิปโตไนซ์)

คราวนี้ขั้นตอนล่ะจะทำยังไง การที่จะให้ตัวละครเราตกที่นั่งลำบากโดยจงใจ (จากฝีมือนักเขียนนี่แหล่ะ) มันมีวิธีครับ…ดังนี้เลย

เริ่มจาก “ใส่ปัญหาภายใน (ภายในใจตัวละครเช่น ปมด้อยเรื่องที่เป็นคนโมโหร้าย คิดมาก คิดช้า จนไม่มีใครอยากคบด้วย) และภายนอกให้กับตัวละคร” ปัญหาภายนอกก็เช่นเพื่อนร่วมงานไม่ชอบการวางท่าวางทางของเขา อิจฉาความสามารถของเขาจนคิดจะกำจัดเขา (เว่อร์ไปนิดแต่ก็โอเคอยู่) ตัวละครที่มีปัญหาหรือความขัดแย้ง (conflict) กับตัวเอกเราเรียกตัวละครตัวนั้นว่า antagonist หรือแปลตรงแบบภาษาชาวบ้านว่า “ตัวโกง ปรปักษ์ ศัตรู” อะไรก็แล้วแต่สะดวกจะเรียก

จากนั้นพอเราเตรียมข้างต้นได้ เราก็ทำให้ (เขียน) ปัญหาภายนอกเริ่มทวีความรุนแรงมากขึ้นจนทำให้ปัญหาภายในใจตัวเอกทวีความรุนแรงตามไปด้วย ทำให้ตัวเอกรู้สึกว่ารันทดกับชีวิตและยากเย็นเหลือเกินที่จะแก้ปัญหาดังกล่าวที่เกิดจากตัวละครที่เป็นตัวปรปักษ์ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ตัวเอกสามารถแก้ไขปัญหาภายนอกดังกล่าวได้ ปัญหาภายในใจของเขาก็จะถูกแก้ตามไปด้วย…เช่น ถ้าตัวเอกกำจัดตัวโกงได้ ก็จะไม่ใครมาคอยล้อเลียนเรื่องเขาปากเหม้นอีกต่อไปและปมด้อยเรื่องปากเหม็นก็จะไม่มีอีก” ….นี่คือสิ่งที่สำคัญสำหรับการสร้างเรื่องขึ้นมาครับ

ดังนั้นท่านใดที่เขียนเรื่องทิ้งไว้รอแก้ไข หรือกำลังเขียนเรื่องอยู่ ลองหยุดสักครู่แล้วมองไปที่เรื่องเขียนของเราว่า มีสิ่งที่กล่าวมานี้หรือเปล่า ต่อที่เทคนิคข้อที่ 5 เลยดีกว่า

5 ไม่มีวายร้ายแบบฮาร์ดคอร์100%ในโลกนิยายหรือวรรณกรรม…

ไม่มีวายร้ายหรือ Villain ในนิยาย…

จากเทคนิคข้อสี่ที่เราได้เรียนรู้ สังเกตเห็นว่าปู่เบน โบวาไม่ได้ใช้คำว่าตัวร้าย แทนคำว่า ปรปักษ์หรือศัตรู เพราะในชีวิตจริง (ทางโลกของวรรณกรรม) “ไม่มีใครเป็นตัวร้ายโดยสมบูรณ์แบบ” นั่นหมายความว่า ตัวละครก็ต้องมีสองด้านคือด้านดีและด้านร้ายด้วย และไม่มีใคร (มนุษย์) เลวร้ายถึงขั้นเรียกว่า ปีศาจ ไปได้

ในโลกของนิยายและเรื่องแต่ง มีเพียงแค่ตัวเอกของเรื่องถูกปัญหารุมเร้า และตัวเอกจะต้องแก้ปัญหาเพื่อให้ไปสู่อิสระภาพภายในจิตใจตัวเองและภายนอกกาย นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถเขียนเรื่อง แฮมเล็ต (ไม่ใช่หนูแฮมเตอร์นะครับ…โน๊ตผู้เขียน) จากมุมมองหรือ viewpoint ของ Claudius ซึ่งเป็นกษัติย์ที่สังหารบิดาของแฮมเล็ต และก็แต่งงานกับแม่แฮมเล็ตซะเอง (โอ๊แม่เจ้า…มันร้ายจริงๆ) เราอาจจะเขียนเรื่องจากมุมมองของ Claudius ที่หลงรักภรรยาของน้องชายตัวเอง และกล้าที่จะทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวภรรยาซึ่งเป็นแฟนของน้องชายมาครอบครองให้ได้…แต่ท้ายที่สุดแล้ว ตัว Claudius ก็ไม่ใช่ตัวร้าย 100% เพราะมันก็มีส่วนดีบ้างล่ะน่า

เทคนิคงานเขียนเรื่องสั้น นิยายจากปู่ “เบน โบวา” (Ben Bova)


บทความนี้คัดมาจาก blog ผมที่ Pantip.com ครับ กะว่าจะเอามารวบรวมไว้ที่นี่ ที่เดียวเลย


ผมอ่านเทคนิคงานเขียนของ Ben Bova ตั้งนานแล้วครับ… เป็นบทความที่ได้จาก internet กับหนังสือวิธีเขียนเรื่องแนว Sci-fi ฉบับภาษาอังกฤษอีกเล่มหนึ่ง (ในเล่มมีการสอนเทคนิคการเขียนเรื่องแนวไซไฟสลับกับเรื่องสั้นที่นำความรู้ที่ได้เรียนมาใช้ด้วย แต่ภาษาในช่วงเรื่องสั้นอ่านยากมากครับ บางเรื่องถึงขั้นอ่านไม่รู้เรื่องเลย ผมก็เลยอ่านเอาแต่เฉพาะภาคทฤษฎีการเขียน) หลังจากนั้นเซฟเก็บไว้ในเครื่อง เห็นว่าแต่เทคนิคละข้อมีประโยชน์มากและเป็นเทคนิคที่น่าสนใจ จึงอยากจะเอามาแบ่งปันให้กับผู้ที่สนใจ…


หลายท่านอาจจะไม่รู้จัก Ben Bova (ชื่อเต็มคือ Benjamin William Bova) แต่ถ้าท่านที่ชอบอ่านเรื่องสั้นแนววิทยาศาสตร์ต้องคุ้นๆชื่อของ Ben Bova ดี (เรื่องสั้นของ Ben Bova ที่แปลเป็นภาษาไทยยังไม่เคยเห็นครับ) ตอนนี้ปู่เบน อายุ 76 ปีแล้ว แต่ผลิตงานเขียนออกมาเยอะมาก เสียดายครับที่ไม่มี สนพ. ไหนของไทยที่ซื้อเรื่องที่ปู่เลนเขียนมาแปลเป็นภาษาไทยให้อ่าน



ถ้าอยากอ่านงานเขียนของปู่เบนคงต้องหาดาวโหลดเอาครับ ในเวปบิทต่างประเทศมีให้โหลดครับ

http://en.wikipedia.org/wiki/Ben_Bova

เทคนิคงานเขียนของ Ben Bova

1 นักเขียนต้องเขียนทุกวัน

“อย่างอ้างว่าไม่มีเวลาเขียนแต่จงหาเวลาเขียน” วันละหนึ่งชั่วโมงก็ยังดี แต่ขอให้นั่งที่โต๊ะทุกวัน แม้ว่าบางวันจะไม่สามารถ”วางคำ”ลงบนกระดาษได้ก็ตาม (ผมเคยได้ยินมาว่า นักเขียนบางท่านเขียนได้ประโยคเดียวในตอนเช้า และพอตอนเย็นก็ลบประโยคเดียวนั้นทิ้งซะ)

เขียนวันละหน้า เดือนหนึ่งก็ได้สามสิบหน้า พอครบปีก็จะได้หนังสือนิยายหนาๆเล่มหนึ่งเลย

การทำงานเขียนเป็นเรื่องยาก มันง่ายดายมากที่เราจะหาข้ออ้างว่าไม่อยากเขียน ดังนั้นจงหาเวลาเขียนทุกๆวัน ทำให้เป็นนิสัย เรื่องบันเทิงอื่นๆต้องมาเป็นอันดับรองจากงานเขียน

2 นักเขียนต้องอ่านหนังสือให้หลากหลายประเภท

อ่านทุกประเภท ไม่จำเป็นว่าต้องอ่านเรื่องหรือแนวที่เราสนใจเท่านั้น การอ่านหนังสือหลายประเภททำให้เรามีมุมมองที่หลากหลาย และเป็นวัตถุดิบที่ดีในการนำมาสร้างเรื่องที่จะเขียน ประเภทของหนังสือที่เราสามารถหามาอ่านได้เช่น แนวประวัติศาสตร์ นิยาย ชีวประวัติ ท่องเที่ยว หนังสือนิตยสารเกี่ยวกับการค้นพบในวงการวิทยาศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา อ่านทุกอย่างที่ขวางหน้าและที่เราสนใจ

หนังสือหรือนิตยสารเล่มไหนที่เราอ่านแล้วรู้สึกสนุกในครั้งแรก ให้เราลองกลับไปอ่านอีกรอบแต่ครั้งนี้ให้พยายามดูว่าผู้เขียนใช้กลวิธีหรือเทคนิคในการนำเสนออย่างไร อะไรทำให้เรารู้สึกว่าอ่านแล้วสนุก จดโน๊ตหรือจำเอาไว้เพื่อเอาไปใช้

“เราจะเรียนรู้ได้จากการอ่านและวิเคราะห์สิ่งที่อ่านเพื่อนำไปใช้กับงานเขียนของเรา”

3 เขียนเกี่ยวกับคนที่เรารู้จัก

คำแนะนำสำหรับนักเขียนใหม่ที่เรามักได้ยินเสมอคือ เขียนในสิ่งที่เรารู้ เป็นคำแนะนำที่ดีเพราะมันเป็นเรื่องยากที่เราจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับการเดินทางข้ามทะเลทรายถ้าเราไม่เคยเดินทางข้ามทะเลทรายมาก่อน จริงๆแล้วเราอาจจะหาข้อมูลจากการอ่านได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประสบการณ์โดยตรงของเราเอง (ความคิดเห็นของผมเอง : นอกจากว่าเราต้องค้นคว้าอย่างหนักเพื่อเขียนในสิ่งที่เราไม่มีความรู้หรือไม่เชี่ยวชาญ)

การเขียนเกี่ยวกับคนที่เรารู้จัก เพราะตัวละครเป็นหัวใจของนิยายทุกเรื่อง เรื่องที่ดีต้องเริ่มจากตัวละครก่อน ตัวละครที่สร้างขึ้นมาแล้วดูน่าเชื่อถือ สามารถทำให้เรื่องของเราน่าเชื่อถือด้วย แล้วจะสร้างตัวละครจากไหน?

ตัวละครได้มาจากคนที่อยู่รอบๆตัวเรา นักเขียนควรจะสร้างตัวละครขึ้นมาจากต้นแบบที่เป็นคนจริงๆผสมผสานจินตนาการลงไป สร้างตัวละครขึ้นมาจากคนหลายๆคนที่เรารู้จัก ไม่จำเป็นต้องมาจากคนๆเดียวเท่านั้น นักเขียนบางท่านก็สร้างตัวละครขึ้นมาโดยใช้ตัวเองเป็นต้นแบบและนำลักษณะอื่นๆเช่นนิสัย การกระทำของคนที่อยู่รอบๆตัวเข้ามาผสมผสานจนกลายเป็นตัวละครที่มีชีวิตชีวา และน่าเชื่อถือ

จงมองผู้คนที่รายล้อมรอบตัวเรา…มองให้เห็นความรักของพวกเขาเหล่านั้น ความสนุกร่าเริง ปัญหาของพวกเขา ความกลัว ความหวัง ทั้งหมดนี้คือวัตถุดิบที่คุณสามารถนำมาใช้ในงานเขียนหรือนิยายของคุณได้

คราวหน้าจะมาต่อด้วยเทคนิคข้อที่สี่ เราจะสร้างเรื่องเพื่อเขียนออกมาเป็นนิยายได้ยังไง….

ทักทายครับ

สวัสดีครับทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาที่ blog แห่งนี้ ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณครับที่สละเวลาอันมีค่า click เข้ามาอ่านหรือแค่ผ่านมาเฉยๆ ผมชื่อ pongcp ครับ จริงๆแล้วไม่ได้มีอาชีพทำ blog หรอกครับ เพียงแต่เห็นคนอื่นเข้ามี blog กันก็เลยอยากมีบ้าง เพราะได้ยินมาว่า อยากปล่อยของ ก็ต้องหา blog ลง ...

blog ที่ blogspot นี้เนื้อหา ณ ตอนนี้ clone มาจาก pongcp.wordpress.com ครับ และผมกะว่าจะหยุด update เนื้อหาใหม่ๆที่นั่นเลย แล้วมา update ที่ pongcpc.blogspot.com แห่งนี้แทนครับ

ผมไม่ได้คิดจะมาปล่อยของ เพราะไม่มีของให้ปล่อย (จริงๆอยากหาของที่คนอื่นปล่อยซะมากกว่า)แต่อยากจะใช้พื้นที่ฟรีๆที่ google อุตส่าห์มอบให้เป็นพื้นที่ปล่อย เรื่องราว ความรู้สึก มากกว่า รวมถึงแบ่งปันอะไรเจ๋งที่ตัวเองรู้มาให้กับท่านที่เข้ามาที่ blog นี้ครับ ดังนั้น โปรดมั่นใจเลยว่า blog นี้ไม่ได้ถูกควบคุมการผลิต entry โดย bot ครับ แต่เป็นมนุษย์ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง ที่มีครอบครัว และเจ้านายหยายๆ คอยหนุนหลังอีกที ^^

ท่านใดเข้ามาก็ทักทายกันบ้างนะครับ หรือไม่เห็นด้วยกับเนื้อหา ความคิด คอมเมนต์ ใน entry ใดก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ครับ

2012…หนังไซไฟหายนะที่ดีที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา


เรื่องราวของวันสุดท้ายของมวลมนุษย์ชาติในปี คศ.2012 ซึ่งต้องพบกับภัยภิบัติที่เกิดขึ้นเนื่องจากดาวโลก ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดาวเสาร์ โคจรมาอยู่ในแนวเดียวกัน และเป็นปีสุดท้ายของมนุษย์ตามคำทำนายของชนเผ่าอินคา

ด้วยความยาวกว่าสองชั่วโมงครึ่งจะทำให้คุณลุ้นระทึกไปกับฉากความหายนะที่เกิดกับโลกของเราในปี คศ.2012 โดยแทบไม่หายใจและตื่นเต้นทุกฉากทุกตอน… อ่านต่อคลิ๊กด้านล่าง

สเปียลเชียลเอ็ฟเฟ็คที่สุดยอด เหมือนจริง เต็มไปด้วยรายละเอียดจะทำให้คุณขนลุกในสิ่งที่เห็น
ผมชอบหนังเรื่องนี้มากครับ ดูแล้วขนลุก นี่ถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างในหนังขึ้นจริงๆ เราจะทำยังไง เท่าที่ดูแล้วโอกาสรอดนี่ 0.00000001% เท่านั้นครับ



ดารา นักแสดง : แสดงได้เยี่ยม
บทภาพยนต์ : เยี่ยมมาก…มีประโยคคมๆให้เห็นเยอะ ตลอดทั้งเรื่อง
Special Effect : สุดยอด คิดว่าถ้าเข้าชิง Oscar ปีหน้า ไม่น่าจะพลาดรางวัลสาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม…สับธงครับ!
อารมณ์ร่วม : เยี่ยมครับ…สำหรับหนังสเกลใหญ่ซึ่งทำได้ขนาดนี้ เพราะต้องสลับกันไประหว่างหายนะและตัวละครอีกเป็นโหลๆ

ไม่อยากให้พลาด หนังแบบนี้ต้องดูในจอใหญ่ในโรงภาพยนต์เท่านั้นครับ แนะนำให้ดูโรงแบบดิจิตอลนะครับ เพราะภาพที่ได้จะคมชัดมากกว่าโรงทั่วไป



ท้ายสุดแล้วมนุษย์ก็แค่เศษธุลีของจักรวาลครับ ไม่รู้จะแบ่งฝ่ายแบ่งพวก แก่งแย่งกันไปทำไม ท้ายสุดแล้วเมื่อถึงเวลาก็ไปจุดหมายปลายทางที่เดียวกันทุกคน ไม่ว่ารวยหรือจนหรือมีอำนาจล้นฟ้า…แต่ถ้าจะต้องตาย ผมขอตายพร้อมคนที่รักหรือครอบครัวดีกว่าครับ หนีไปคงไม่รอด…

ขอบคุณท่านเทพ โรแลน เอ็มเมอริช สำหรับหนังดีๆแบบนี้

Avatar สุดยอดภาพยนต์ไซไฟจากผู้กำกับไททานิค!

“แทบจะอดทนรอดูไม่ไหวแล้วครับ กำหนดเข้าฉายในโรงภาพยนต์บ้านเราวันที่ 17 พ.ย. 2552 เชื่อว่าฉายรอบแรกจะเกิดปรากฎการณ์คนเยอะจนโรงแตกแน่ๆ
มีให้ชมทั้ง ระบบ 3D ที่โรงแบบ digital pictures กับ IMAX 3D บนจอสูงขนาดตึกกี่ชั้น? (จำไม่ได้แล้ว)”


ข้อมูลเรื่อง Avatar
Title: Avatar
Genre: Science-Fiction
Directed by: James Cameron
Written by: James Cameron
Starring:
Sam Worthinghton, Zoe Saldana, Sigourney Weaver, Stephen Lang, Michelle Rodriguez
Budget: $195 Million ลงทุนสร้าง
Music by: James Horner
Status: In Production
Release Date: December 18, 2009 วันที่ออกฉายทั่วโลก

จากภาพตัวอย่าง น่าจะเป็นแนวไซไฟแฟนตาซีมากกว่าฮาร์ดไซไฟครับ


ภาพใบปิดครับ




ภาพจากซีนหนึ่งในหนัง

Avatar : ดนตรีประกอบภาพยนต์ original motion picture soundtrack …


ดนตรีประกอบภาพยนต์ หรือ original motion picture soundtrack …AVATAR

Soundtrack of Avatar

1.”You Don’t Dream in Cryo…”
2.”Jake Enters His Avatar World”
3.”Pure Spirits of the Forest”
4.”The Bioluminescence of the Night”
5.”Becoming One of ‘The People’ Becoming One With Neytiri”
6.”Climbing Up – ‘Iknimaya – The Path to Heaven’”
7.”Jake’s First Flight”
8.”Scorched Earth”
9.”Quaritch”
10.”The Destruction of ‘Hometree’”
11.”Shutting Down Grace’s Lab”
12.”Gathering All the Na’vi Clans for Battle”
13.”War”

“มารอดูกันครับว่า เราจะได้ฟังเพลงหรือดนตรีประกอบหนังเรื่อง Avatar ก่อนหนังเข้าฉายหรือเปล่า จำได้ว่าตอนที่ไททานิคเข้าฉาย ผมได้ฟัง ‘มายฮาทวิวโกออน’ ก่อนหนังลงโรงฉายด้วยซ้ำ … ช่วงก่อนหนังเปิดฉายรอบแรกไม่กี่วันจะค้นในเน็ตดูเพื่อเอามาฟังแล้วจะรีวิว คอมเมนท์ให้อ่านครับ”

Orphan “เด็กนรก” หนังตื่นเต้น+ซ่อนปม ชั้นดีอีกเรื่อง ที่ห้ามพลาดชมเด็ดขาด

Orphan : เด็กนรก
“There’s something wrong with Esther”


นี่คือเหตุผลที่คุณต้องไม่พลาดเรื่องนี้
1 ด้วยความยาวประมาณหนึ่งชั่วโมงห้าสิบนาที ไม่ทำให้รู้สึกว่าหนังแนวตื่นเต้น (+ซ่อนเงื่อน สยองประสาท) เรื่องนี้อืดไปแต่อย่างใด โดยปกติหนังแนวนี้มักจะมีความยาวไม่เกินหนึ่งชั่วโมงครึ่ง แต่ Orphan ไม่ใช่ครับ เพราะ Ophan มีเรื่องให้เล่าเยอะ และ plot ก็จัดอยู่ว่าซับซ้อนจนคุณต้องคิดตามได้ระดับหนึ่ง
2 หนังดูสนุก (ในแนวสยอง ตื่นเต้นและลุ้นระทึกทุก สิบห้านาที) ตลอดทั้งเรื่อง ไม่มีฉากไหนรกรุงรังและอืดยืดยาด


3 ตัวละครทุกตัวที่ถูกนำเสนอมีความสำคัญกับเรื่องและเป็นส่วนที่ทำให้หนังเกิดจุดเปลี่ยนทุกครึ่งชั่วโมง


Isabelle Fuhrman ดาราเด็กที่รับบทนำครับ

4 นักแสดงเด็กที่ชื่อ Isabelle Fuhrman (รับบทเป็นตัวละครเด็กกำพร้าที่ชื่อ Esther) แสดงได้ดีมาก อนาคตไกลครับ เธอเคยรับบทในเรื่อง Ghost Whisperer และให้เสียงในเรื่อง Children of the corn ด้วยครับ นักแสดงเด็กอีกสองคนก็แสดงำด้เยี่ยมมาก
5 ทีม makup ที่แต่งหน้าให้กับ Esther สามารถทำให้เราเห็นเบื้องหลังในตอนหนังเข้าจุดไคล์แม็กซ์ของ Esther จนเราต้องช็อคกับภาพที่เห็น (ไม่บอกครับว่าเห็นอะไร ต้องดูเอาเอง)
6 ฉากโหดๆในเรื่องทำได้ถึงใจ (สะใจขาโหด) ดังนั้นผู้ปกครองควรแนะนำถ้ามีบุตรหลานอยากชมเรื่องนี้ แต่ผมแนะนำว่าอย่าให้ดูดีกว่า…มันรุนแรงเกินไปครับ
7 Orphan แปลว่า เด็กกำพร้า และตอนเป็น version ฉายในไทยก็ตั้งชื่อได้ดีครับว่า “เด็กนรก”


David Leslie Johnson มือเขียนบทเรื่องนี้ครับ

8 คนเขียนบทเก่งมากครับ สิ่งละอันพันละน้อยที่ใส่มาในเรื่องในช่วงแรกๆหรือกลางเรื่องมีความสำคัญซึ่งถูกนำมาใช้ในตอนถัดมาทั้งหมด

แนะนำให้รีบหามาชมโดยด่วนครับ หนังสยอง ตื่นเต้น เกรดดีแบบนี้ นานๆจะมีให้ชม ยิ่งฉากจบแล้วคุณจะอึ้งกับความลับที่ซ่อนอยู่ และไอ้ที่คนตั้งคำถามกับตัวเองมาตลอดทั้งเรื่องก็จะถูกเฉลยครับ !

ผมว่า 4 ดาวเต็ม 5 ดาวได้เลยครับเรื่องนี้…

รายละเอียดครับ:

Directed by Jaume Collet-Serra
Produced by Joel Silver
Susan Downey
Leonardo DiCaprio
Jennifer Davisson Killoran
Written by Story:
Alex Mace
Screenplay:
David Leslie Johnson
Starring Vera Farmiga
Peter Sarsgaard
Isabelle Fuhrman
CCH Pounder
Jimmy Bennett
Music by John Ottman
Cinematography Jeff Cutter
Editing by Timothy Alverson
Studio Dark Castle Entertainment
Appian Way Productions
Distributed by USA/International:
Warner Bros.
UK/Germany/France:
StudioCanal
Release date(s) July 24, 2009 (2009-07-24)
Running time 123 min.
Country United States
Language English
Gross revenue $51,000,000[1]

เครดิตรูปจาก http://www.ifmagazine.com/new.asp?article=8412

แนะนำ blog ดูรูปถ่ายสวยๆครับ

แนะนำ blog ดูรูปถ่ายสวยๆครับ เป็น blog ของคุณ Stephen Baird ซึ่งชอบถ่ายรูปมากเป็นชีวิตจิตใจ

ลองอ่านข้อความตรงส่วนของ about me ที่คุณ Stephen Baird ดูครับ เขียนไว้โดนใจผมมากครับ…คลิ๊ก More เพื่ออ่านต่อ




“ผมพยายามบันทึกเก็บทุกสิ่งที่ผมเห็นด้วยภาพถ่าย ซึ่งสิ่งนี้มีอายุยืนยาวมากกว่าตัวผมเอง…ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่วิเศษถ้าลูกหลานของผมสามารถเห็นสิ่งที่เคยผ่านสายตาผมเวลาผมใช้กล้องบันทึกมันลงในภาพถ่าย”

blog Nikon Sniper อัพเดตทุกวันครับ สามารถคลิ๊กเข้าไปดูได้ตามนี้เลย
ไปยัง blog Nikon Sniper
ตอนนี้มีคน follow ประมาณ 1700 คนแล้วครับ
ปล. คุณ Stephen Baird แกขยันถ่ายรูปมากครับ ลงรูปใหม่ๆได้ทุกวัน ผมว่าจะมีก็แต่ตอนอาบน้ำเท่านั้นแหล่ะครับที่กล้องไม่ได้ติดตัวแก

เวปสอนวาดการ์ตูนน่ารักๆครับ…รับรองต้องชอบ

เวปสอนวาดการ์ตูนน่ารักๆครับ…รับรองต้องชอบ

แนะนำเวปดีๆวันนี้จะพาไปพบกับเวปสอนวาดการ์ตูนน่ารักๆครับ บังเอิญไปเจอตอนค้นข้อมูลใน google
เนื้อหาในเวปจะสอนวาดรูปการ์ตูนหลายๆประเภทครับ ทั้งภาพสัตว์ คน รถยนต์ สิ่งของ โดยสอนเป็นขั้นๆ step by step.
ด้านขวามือจะเป็นเมนู linkให้เลือกสำหรับ categories ต่างๆที่เราเลือกจากซ้ายมือ
ไปที่นี่เลยครับ สอนวาดรูปการ์ตูนน่ารักๆ How to draw funny cartoons

สร้าง blog กับ blogger.com (blogspot.com)

This is cool link…

สร้าง blog กับ blogger.com (blogspot.com)

http://pulsed.blogspot.com/2007/08/blogger-layout-tutorial.html

75 เคล็ดลับเพื่อการโปรโมทเว็บ หรือ Blog ให้ดังทะลุฟ้าออกไปจักรวาล

วันนี้ลองค้น google เล่นๆว่า ทำยังไงให้ blog ของเราดัง ก็วิธีโปรโมท blog นั่นแหล่ะครับ ก็เลยไปเจอเทคนิคนี้เข้า ขอบอกว่าเจ๋งและเข้าท่ามากครับ ไม่เพียงแต่เอาไปใช้กับ blog เท่านั้น แต่สามารถนำไปใช้กับเวปทั่วๆไปได้ครับ ขอบคุณเจ้าของผู้ที่คิดค้น tipsทั้งหมดนี้ขึ้นมาครับ

75 เคล็ดลับ โปรโมทเว็บ หรือ Blog ให้ดัง

1. ถ้าคุณเพิ่งทำเวบใหม่สดๆเลย ก็เขียนบทความอะไรซักหน่อย แล้วไปส่งที่ Digg.com, Reddit.com, และ Now Public.com
2. สร้าง Yahoo Group เกี่ยวกับเรื่องของเวบเรา
3. สมัคร MySpace แล้วใช้มันช่วยโปรโมท…

อ่านต่อกด continues reading ครับ

4. บุ๊คมาร์คเวบเราที่ Del.icio.us และถ้าคุณมีกึ๋นซักหน่อยนะ ก็ใส่ปุ่ม Del.icio.us ไว้ในเวบของคุณด้วย
5. สมัคร Technorati แล้วก็ “claim” Blog ของคุณซะ (อย่าลืมใส่ปุ่ม ไว้ที่เวบ)
6. submit เวบของคุณที่ directories ที่เป็น seach engine friendly แบบฟรีๆ ก็มีเยอะแยะ เช่น Info Vilesilencer
7. ทำแบบสำรวจ นี่เป็นวิธีที่ดีที่จะโปรโมทแบบ offline (มีใครเคยทำมั้ยง่ะ – -a)
8. ไปลงโฆษณาฟรีสำหรับบริษัทของคุณที่ Gumtree
9. ใช้ RSS feeds
10. submit RSS feeds ของเราตาม FeedBurner, Squidoo, Feedboy, Jordomedia, FeedBomb, FeedCat, rssmad, feedirectory, และ Feedboy
11. เขียนบทความที่เกี่ยวกับเวบของคุณ แล้วส่งไปตาม article sites

12. สมัคร StumbleUpon แล้วเรียกเพื่อนๆมาช่วย Stumble
13. สร้างหน้า 404 ของตัวเองไว้ เผื่อว่าคนเข้ามาเจอ error ก็จะ redirect ไปที่อื่นๆที่ดีๆ
14. สร้าง 301 redirect เพื่อจะ redicrect traffic ของคุณจาก non-www มาที่ www ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่
15. ใส่ลิ้งของเวบคุณไว้ใน signature ของเวบบอร์ดที่คุณเป็นสมาชิก
16. บอกเพื่อนๆเกี่ยวกับเวบของคุณ (มันเป็นหารโฆษณาฟรีๆน่ะ)
17. ตรวจคำผิดในเวบของคุณด้วย!
18. เช็คเวบของคุณ browser หลายๆอัน
19. ซื้อโฮสต์ที่ดีพอ ไม่มีใครชอบเวบที่เป็นเต่าคลาน
20. ไม่ต้องกังวลกับ PageRank ไปหาทางโปรโมทดีกว่านะ เดี๋ยว PageRank มันก็ดีตามเอง
21. แจกของฟรี !! คนส่วนมากจะบอกต่อ เมื่อมีของฟรี
22. บอกเพื่อนบ้านของคุณ (- -a)
23. บอกวิธีที่จะติดต่อคุณให้มากที่สุด msn email yahoo skype เบอร์โทร ที่อยู่
24. ลงโฆษณากับ Craigslist มันฟรี และก็ดีใช้ได้
25. อย่าใช้ Frames
26. Submit เวบที่ DMOZ.org มันอาจจะต้องใช้เวลาซักหน่อย แต่ก็คุ้ม
27. สร้าง Site Map ให้กับเวบของคุณ แล้วส่งให้ Google
28. ทำเสื้อขึ้นสกรีน URL เวบคุณลงไป แล้วก้ใส่มันบ่อยๆด้วย (อืม..คิดได้เนอะ – -”)
29. เอาไปให้สาวสวยหุ่นเร้าใจใส่ด้วยซักตัว *-*
30. สมัคร Affiliate program เพื่อขายสินค้าของคุณ หรือว่าถ้าคุณเป็น Publisher ก็โกยเงินกัน!!
31. ในหน้า contact ถามด้วยว่า คุณสนใจจะรับ Newsletter มั้ย
32. ส่ง Newsletter !!
33. เข้าร่วมสัมมนาคนทำเวบ คุณอาจจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆก็ได้
34. หา Blog ดีๆ ดังๆ แล้วก็ไปตอบคอมเม้นไว้ (ใส่ลิ้งเวบคุณด้วยล่ะ)
35. อย่าจ้างคนให้ submit search engines ให้ เสียตังค์เปล่าๆ เพราะอันที่ดังๆมีแค่ Google 50% Yahoo 25% และ MSN 10%
36. ส่งคลิบเข้าพร้อมกับชื่อเวบคุณในคลิบ ที่ YouTube กับ Google Video
37. แจกฟรี e-book แล้วเวบคุณจะเป็นที่ฮือฮา
38. แจก WordPress Theme, Blogger Theme, หรือ phpLD themes
39. ถ้าคุณขายของที่มีโฆษณาในทีวี เขียนในเวบคุณด้วยว่า “แบบที่เห็นในทีวี”
40. หลีกเลี่ยงเทคโนโลยีที่ไฮโซเกิน เช่น Java หรือ Active x
41. แจกของให้โหลดได้ ระวังลิขสิทธิ์ด้วย
42. เรียนรู้ CSS
43. ตอบคอมเม้น ยิ่งถ้าเป็น Blog ตอบบ่อยๆ
44. ขอให้เวบอื่น หรือ Blogger คนอื่นๆ ช่วย review เวบคุณ หรือว่า สินค้าก็ได้ (แลกกัน review ก็ดี)
45. ใช้ชื่อ page ที่มีความหมาย เช่น www.YoutDomain.com/keyword/keyword ไม่ใช่ www.yourdomain.com/pgInfoPages.cfm?cx=50799399822
46. ถ้าคุณจำเป็นจะต้องมี Flash ที่หน้าแรก อย่าลืมใส่ปุ่ม skip ด้วย
47. บอกหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น หรือ วารสารประจำโรงเรียนเกี่ยวกับเวบของคุณ บางทีถ้าเค้าไม่มีเรื่องจะเขียน หน้าของคุณอาจจะไปโผล่ในนั้นก็ได้
48. จงดังในหมู่คนที่เขียนเรื่องเดียวกัน
49. บริจาคเพื่อการกุศล แล้วส่วนมากเค้าจะใส่ลิ้งแบคให้คุณ
50. ปฏิบัติตามกฏของ W3C standards มันจะช่วยให้คุณอยู่รอดได้ในระยะยาว
51. ทีมกีฬาในโรงเรียน หรือในชุมชน ให้โอกาสคุณเป็น sponsors ในราคาถูกและดี
52. โปรโมทเวบตามบอร์ดต่างๆ แต่อย่าสแปม
53. ขอให้ Blogger เขียนเกี่ยวกับเวบของคุณ โดยแลกกับลิ้งแบค
54. จัดการประกวดแข่งขันขึ้นมาในเวบ
55. ใส่ปุ่ม “ส่งต่อให้เพื่อน”
56. มี site map ในเวบของคุณ เพื่อช่วยผู้เข้าชม และsearch engine
57. ตั้งชื่อที่มีคีย์เวิร์ดตรงๆ ทั้งผู้อ่านและ search engine ชอบ
58. ใส่ปุ่ม FeedBurner ในเวบด้วย คนอ่านจะได้สมัครได้ง่ายๆ
59. Adwords เป็นทางเลือกที่ดี ถ้าคุณใช้มันเป็น
60. ใส่ About Me ใน Blog ผู้อ่านจะรู้สึกว่ามี’คน’ที่กำลังสื่อสารกับเค้า
61. สร้างหน้าเวบ แบนเนอ และโลโก้ไว้บนเวบ เพื่อว่าใครจะเอาไปตีพิมพ์ หรือเอาไปแปะในเวบ
62. ใส่ลิ้งมาที่เวบคุณจาก ebay profile
63. ขอให้เพื่อนของคุณช่วยวิจารณ์เวบแบบตรงๆ
64. E-books ที่มี reseller rights เป็นของแจกที่ดีอย่างนึงสำหรับเวบคุณ
65. submit รูปที่ Flikr
66. แชร์ banner ที่ เวบแลกเปลี่ยน banner
67. ตอบอีเมลล์ของลูกค้าให้เร็ว ไม่มีใครชอบรอ 3-4 วันกว่าจะได้รับคำตอบ
68. Keep It Simple Stupid (KISS) ใช้ CSS ในการวาง layout และ html text อย่าลวดลายมาก
69. อย่าใส่รูปเยอะมากจนเกินไป จะทำให้โหลดช้า
70. ถ้าคุณคิดว่าจะ submit เยอะมากๆ สร้างเมลล์อันใหม่มาเพื่อการนี้ แล้วทิ้งมันไปซะเพื่อลดการ สแปม
71. ใส่ Favicon ให้เวบคุณ จะได้โดดเด่นเวลา Bookmark
72. เข้า Yahoo answer แล้วตอบคำถาม พร้อมกับใส่เวบของคุณเปน source
73. อย่าซื้อ traffic มันจะมาแค่วูบเดียว แล้วจากไป
74. ทำความรู้จักกับคนที่อยู่ในวงการเดียวกัน เข้า community เป็นต้น
75. เขียนบทความที่จะมีคนอยากลิ้งถึงมากๆ เช่น บทความนี้ไง แลบลิ้น

เครดิต http://juneandtheblog.blogspot.com/2007/08/75.html

รวมเวปสำหรับดาวโหลด Theme WordPress free ที่สวยระดับเทพ

1) อันดับแรกที่นี่เลยครับ บางอันก็สวยมากจนดูรกไปหน่อย ก็แล้วแต่ความชอบครับ
http://topwpthemes.com


2) อันนี้ของ wordpress เอง ครับ มีเยอะมากๆ simple และสะอาดตา
http://wordpress.org/extend/themes/

3) ที่นี่ก็เยอะครับ
http://www.freewpthemes.net

4) อันดับสี่
http://wordpresstemplates.name

blog เจ๋งๆประกอบด้วยอะไรบ้าง

blog เจ๋งๆประกอบด้วยอะไรบ้าง

1. Content is king “เนื้อหาสำคัญที่สุด” เป็นประโยคอมตะนิรันดร์กาลเลยทีเดียว ถ้า ต้องการผู้อ่านที่จงรักภักดีต่อ Blog คุณ แบบแฟนพันธุ์แท้ เนื้อหาของ Blog นั้นสำคัญมาก โดย Content ที่ดีนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ เช่น blog ของ ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช หรือเป็นเรื่องใหม่สดๆ ร้อน ๆ หรือเขียนได้ดีมากๆ หรือเป็นเรื่องที่อ่านแล้วอยากจะบอกต่อให้เพื่อนๆ มาอ่านด้วย ขึ้นอยู่กับ Blog ของคุณ

2. Update Blog อย่างสม่ำเสมอ แนะนำว่าควรจะ Update เรื่องใน Blog ใหม่ทุกวัน หรือความสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะสั้นหรือยาวแค่ไหน เพราะว่า Blog เกิดใหม่ๆ คนอ่านจะคอยมาดูว่า Blog คุณมีเรื่องอะไร Update บ้าง ถ้า 2-3 วันไม่มีเรื่องใหม่ๆเข้ามา เขาก็จะเบื่อ และไม่กลับมาอีกเลย ดังนั้นเมื่อเปิด Blog ใหม่ช่วงเดือนแรก ควร update ให้ได้ทุกวัน จนเมื่อคนอ่านติดแล้ว คุณจะอู้เป็น อาทิตย์ละ 2-3 เรื่อง คนอ่านก็ให้อภัยได้อยู่ แต่ก็มี Blog Guru บอกว่าจะ Update จะทุกวัน หรือทุกอาทิตย์ หรือทุกเดือน ก็แล้วแต่ ขอให้ Update เป็นเวลา สม่ำเสมอ คนอ่านจะได้กะเวลาถูก ว่าเข้ามาวันนี้ได้อ่านเรื่องใหม่ๆแน่นอน


3. เขียนเรื่องที่คุณชอบและสนใจ เพราะไม่เช่นนั้นคุณจะไม่มีแรง ไม่มีไฟในการเขียน Blog ทุกๆ วัน จะเขียน Blog ตาม Keyword เพื่อให้ได้รายได้เยอะๆนั้น เหนื่อยแน่ๆ และจะทำได้ทุกวันนั้นยากมาก เลยแนะนำให้เขียนเรื่องที่ชอบ สนใจ รู้จริง รู้ลึก เพราะจะทำให้คุณคิดเรื่องใหม่ๆได้เสมอ และคนอ่านจะรู้ได้ทันทีว่าเนื้อหาคุณน่าสนใจ รู้จริง และน่าติดตาม

4. เขียนเรื่องยาว มีประโยชน์ ใน Blog ของคุณควรจะมีเรื่องยาวประเภท Howto หรือเรื่องประเภทสอนวิธีเป็นขั้นเป็นตอน ที่เกี่ยวกับเนื้อหาหลักของ Blog เราหลายๆเรื่อง เพราะเรื่องพวกนี้จะเป็นตัวทำให้คนอ่าน “ติด” Blog ของคุณ ลูกค้าประจำจะเกิดไม่เกิด ก็อยู่ที่เรื่องยาวนี่ละ ส่วนเรื่องย่อยๆ สั้นๆ ที่ Update บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นข่าว tips หรือเรื่องสั้นๆอื่นๆ แม้กระทั่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับ Blog ของเราเท่าไร เช่นเรื่องตลก ขบขัน ก็สำคัญ เพราะเรื่องเหล่านี้จะเป็นตัว “ดึง” คนให้เข้าเว็บคุณ ไม่ว่าจะมาจาก Search Engine หรือ link จากที่อื่น แต่ถ้าลูกค้าขาจรเยอะ แต่ไม่มีเรื่องอ่านแล้วติดใจ ก็เสียประโยชน์ ดังนั้น เรื่องยาวๆ ต้องมีไว้พอสมควร

5. Comment Blog คนอื่นบ้าง การ Comment ที่ Blog ของคนอื่นก็มีประโยชน์ โดยเฉพาะ Blog ที่มีเนื้อหาใกล้เคียง หรือไปทางเดียวกับ Blog ของเรา เพราะว่าคนอ่าน Blog นั้นๆ ก็มักจะชอบอ่าน Blog ที่คล้ายๆกัน โอกาสที่จะกลายมาเป็นขาประจำ Blog เราก็มีสูง บางครั้งแค่ link ของเว็บเราใน Comment ของ Blog ดังๆ ก็พาคนเข้า Blog เราเป็นพันๆคนต่อวันเลยทีเดียว ถ้าเราทำให้พวกนี้เป็นขาประจำได้ 10% ก็เท่ากับว่ามีคนอ่าน Blog เราเป็นประจำ 100 คนแล้ว น่าสนไหมละครับ ดีกว่าเราเก็บตัวเงียบๆ รอ Search Engine อย่างเดียวนะครับ แต่ว่า Comment ไม่ควรจะเป็นสแปม แบบ “เยี่ยมมาก ดีมาก แวะมา แวะไป ” อะไรอย่างนี้ หรือไล่ใส่ link เรามันไปทุก

ขอบคุณ originator ที่เขียนบทความนี้ขึ้นมาครับ ได้ประโยชน์มากๆ ต้องขอโทษด้วย ผมไม่รู้จักชื่อคนเขียนบทความนี้

45 สุดยอดฟรีธีม WordPress! (45 Excellent Free WordPress Themes)


45 สุดยอดฟรีธีม WordPress! (45 Excellent Free WordPress Themes)

เจอเวปนี้ระหว่างค้น Theme ของ WordPress ครับ เลยเอามาฝาก
เท่าที่ลอง scan ดูคร่าวๆในรูปตัวอย่าง แต่ละธีม สวยจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าจะแก้โค้ด CSS/HTML ยากหรือเปล่า ต้องลองดูครับ


ถูกใจ ช่วย post บอกด้วยครับ


link นี้ครับ 45 ธีม WordPress แจกฟรีๆ (45 Excellent Free WordPress Themes)

“รถไฟฟ้ามหานะเธอ” หนังรักกุ๊กกิ๊ก ที่ดูแล้วยิ้มทั้งเรื่อง

“รถไฟฟ้ามหานะเธอ”
ไปดูมาแล้วครับ…




นำแสดงโดย เคน ธีรเดชกับ คริส หอวัง และแพท อังศุมาลิน

สนุกมากครับ พระเอกหล่อนางเอกน่ารัก
สิ่งที่ขอชม

-คริส หอวังกับเคน แสดงได้ดีครับ
-บทภาพยนต์เขียนออกมาได้ลงตัว เหมือนดูหนังเกาหลีเลยครับ มีกลิ่นอายของนิยายวัยรุ่นแบบมี emotion icon อยู่เยอะ ประมาณให้นางเอกคิด เล่าเรื่องผ่านมุมมองของนางเอก

สิ่งที่ยังดูขาดๆไป

-เพลงประกอบ (ดนตรีประกอบ) ยังเงียบไปนิดครับ ฉากบางฉากถ้าใส่ดนตรีลงไปจะเรียก อารมณ์ ผู้ชมได้มากกว่าเดิม
-การถ่ายภาพและมุมกล้องดูธรรมดาเกินไป จนเรียกว่า ถ่ายแบบบ้านๆก็พอไหว

แต่โดยรวมแล้วเป็หนังรักที่ดูสนุกอีกเรื่อง ไม่เสียดายกะตังค์ และรอแผ่นดีวีดีออกมาด้วยใจจดใจจ่อสำหรับเอามาดูรอบสอง


เครดิต ภาพประกอบ blog จากเวปไซต์

http://www.thaicinema.org/kits157rodfai.asp

“วงษ์คำเหลา”…อื่มนะ มันตลกแบบกั๊กๆไงไม่รู้

ผมซื้อแผ่นมาดูครับ สดๆร้อนๆ พอดูจบแล้วก็อึ้งๆ หนังเรื่องนี้มีฉากหรือมุขที่ดูแล้วขำน้อยมากๆ
แต่ฉากที่ขำที่สุด (สำหรับผม) ก็ตรงที่นักแสดงที่เล่นเป็นพี่เป้าออกฉาก ซึ่งยอมรับว่าขำมากๆ โดยเฉพาะฉากตด สาม สี่ชุดที่ห้องนั่งเล่น ขำสุดๆ
กำลังคิดว่า ถ้าไม่มีนักแสดงที่เล่นเป็นพี่เป้า หนังเรื่องนี้อาจจะกร่อยๆไปเลย

พอดูจบแล้วก็นึกรู้สึกโชคดีที่ไม่ได้ไปดูในโรง
อื่มนะ มันตลกแบบกั๊กๆไงไม่รู้

สิ่งที่ต้องชม คือถ่ายภาพและจัดฉากได้สวยครับ พิถีพิถันดีครับ
ยังติดตามผลงานคุณหม่ำ ต่อไปครับ… (ต้องยอมรับว่าคุณหม่ำเป็นนักแสดงตลกที่เก่งจริงๆ)

รถไฟฟ้ามาหานะเธอ…รายได้รวม 141 ล้านบาทแล้วจ๊า

รถไฟฟ้ามาหานะเธอ…รายได้รวม 141 ล้านบาทแล้วจ๊า…


รถไฟฟ้ามาหานะเธอ ฉายไปทั้งหมด 25 วัน รายได้รวม 141.1 ล้านบาท แล้วครับ โดยที่รายรับสี่วันแรกที่เข้าฉายคือ 6.2 ล้านบาท คิดเล่นๆว่าสมมติค่าตั๋วใบละร้อยบาท ดังนั้นมีคนที่เข้าชมรถไฟฟ้าฯ ไปแล้วประมาณ 62000 คน! สุดยอด…. ไม่นับคนที่ติดใจความน่ารักของคุณเคน ซึ่งกลับไปดูซ้ำสองรอบ อะไรจะทำรายได้ดีขนาดนั้น คลิ๊ก More อ่านต่อ…

ดีใจกับผู้กำกับและดาราด้วยครับ นี่ขนาดแผ่นดีวีดียังไม่วางขายนะครับ ถ้าวางขายจะขายได้อีกไม่รู้กี่ชุด งานนี้น่าจะออกมาสองแบบ แบบ Box set (ไม่รู้จะมีรถไฟเล็กๆแถมให้ไหม แต่เดาว่าน่าจะมีโปสการ์ดแถมมาด้วย สำหรับคนรักพี่เคนกับน้องคริสโดยเฉพาะ…) กับแบบ Solo เป็ฯแค่ดีวีดีแผ่นเดียว งานนี้ผมรอเก็บแบบ Box set ดีกว่า


อันดับสองสำหรับหนังทำเงินในบ้านเรา คือ This is it รายได้รวม 11.3 ล้านบาท ฉายไป 12 วันแล้ว

อันดับสามคือเรื่อง Surrogates รายได้รวม 25 ล้านบาท (เห็นตัวเลขแล้วดีใจที่หนังไซไฟยังขายได้อยู่ครับ) ฉายไปแล้ว 19 วัน


เครดิต : ข้อมูลจาก นิตยสาร Entertain ฉบับที่ 1052 หน้า 14 คอลัมน์ Thailand Box Office Report (ระหว่างวันที่ 5-8 พ.ย. 2525)

รถไฟฟ้ามาหานะเธอ…โพสเตอร์บอกอะไรเรา?

รถไฟฟ้ามาหานะเธอ…โพสเตอร์บอกอะไรเรา?
ณ ตอนนี้ผมคิดว่ากระแสหนังเรื่องรถไฟฟ้ามาหานะเธอคงเริ่มแผ่วๆลงไปบ้าง เพราะกระแส 2012 หนังหายนะโลกเข้ามากลบ และ Pai in love ก็กำลังมา… จะเหลือก็แต่ การรอคอย ของเหล่าสาวกรถไฟฟ้าที่รอการมาของดีวีดีแบบ Box set (แหะๆ ผมก็เป็นอีกคนที่รอเหมือนกัน) งานนี้ต้องรีบบอก GTH ให้ยึดสุภาษิตว่า “น้ำขึ้นให้หาถุงทรายวางขวาง” เอ้ย…”ให้รีบตัก”…โดยการรีบวางตลาดดีวีดีเพื่อสนองอารมณ์ค้างของแฟนๆรถไฟฟ้า ทั้งแฟนคุณเคนกับคุณคริส นั้นหมายถึงโอกาสทาง business แบบต่อเนื่อง

วันนี้เอาโพสเตอร์หนังเรื่องรถไฟฟ้ามาฝากเก็บไว้ที่เอนทรี่นี้ครับ มาดูเล่นๆว่าโพสเตอร์versionไหนบอกอะไรเราบ้าง และผมชอบversionแบบไหนที่สุด
ก่อนอื่น ขอบอกไว้ก่อนว่าผมไม่ใช่มือพระกาฬรีวิวโพสเตอร์หนังนะครับ ใช้สายตาดูแบบบ้านๆนี่แหล่ะแล้ว comment ซะ



แบบที่ 1 : จำได้ว่าเห็นแบบนี้เป็นแบบแรกเลยครับ ช่วงที่หนังยังไม่ฉาย ชอบคำโปรยที่ว่า “ผู้ชายคนนี้พี่ขอ” ตรงตาม concept ของเรื่องเด๊ะๆ เห็นครั้งแรกสะดุดตามาก ชื่อหนังทำให้งงๆว่า หนังอะไรหว่าชื่อแปลกๆ




แบบที่ 2 : ภาพพี่เคนในหน้าตรง หล่อเอาเรื่อง … น้องคริสก็น่ารัก (ใคร design ให้น้องคริสทำท่านี้ เก่งมาก… เข้าใจออกแบบท่าทางจรงๆ) จุดเด่นคือนิ้วที่แขวนห้อยกับห่วงจับที่ทำนิ้วบอกว่า “ฉันรักเธอ…” ไอเดียสุดยอดครับ ขอชมจากใจจริง เสื้อสีฟ้าของคุณเคนก็บ่งบอกถึง ชายที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและสีฟ้าก็เป็นตัวแทนของสีแห่งความเหงาได้ครับ




แบบที่ 3 : ใบปิด version นี้ไม่ต้องพูดถึงความหล่อของคุณเคน… ได้ใจสาวๆไปเต็มๆเลยครับ “ผู้ชายที่ผู้หญิงอยากจีบมากที่สุด” รูปคุณคริสที่กำลังจะทิ้งผ้าเช็ดหน้าสีชมพูดูแปลกตาดี



แบบที่ 4 : version นี้สัมพันธ์กับ version ที่ 3 ครับ เพราะคำโปรยที่โปสเตอร์เขียนว่า “ผู้หญิงที่อยากถูกผู้ชายจีบมากที่สุด” เวอร์ชั่นนี้ผมเฉยๆครับ

สรุปว่า ผมชอบทุกแบบเลยครับ ถ้าจะถามว่าชอบแบบไหนมากที่สุด ก็ขอตอบแบบตรงๆเลยว่าชอบมากที่สุดคือ”แบบที่สอง”เพราะ สัญลักษณ์ I Love You ที่นิ้วนั่นแหล่ะครับ ไอเดียเก๋จริงๆ เห็นโพสเตอร์รถไฟฟ้ามาหานะเธอแล้วทำให้นึกถึงหนังเกาหลีน่ารักๆครับ ลักษณะ design การวางแบบคล้ายโพสเตอร์หนังรักกุ๊กกิ๊กของเกาหลี

Missing ลักพาตัวไปฆ่า…


Missing ลักพาตัวไปฆ่า… หนังฆาตกรรม สยองขวัญ ที่มีกลิ่นอายสืบสวน สอบสวนไม่มากนัก สัญชาติเกาหลี ออกฉายวันที่ 19 เดือนมีนาคม 2009

กำกับการแสดงโดย Directed by Kim Seong-hong (김성홍)
บทภาพยนต์โดย Screenplay by Kim Yeong-ok-I (김영옥)

ดูจบไปแล้วครับ หลังจากจดๆจ้องๆอยู่หลายวัน เพราะช่วงนี้ไม่อยากดูหนังที่หดหู่ หม่นหมอง แต่ด้วยเวลาประมาณ 98 นาทีทำให้นั่งแทบ
ไม่ติดเพราะลุ้นตลอดทั้งเรื่อง …

หนังเล่าเรื่องราวของพี่น้องสองคนที่ต้องพลัดพรากกันเพราะน้องสาวถูกลักพาตัว (กักตัวไว้) โดยชายคนหนึ่งในชนบท พี่สาวจึงออกติดตามหาน้องสาวโดยปราศจากความช่วยเหลือใดๆจากตำรวจ (ในครั้งแรก) และพี่สาวจึงต้องพบกับเรื่องราวสยดสยองจนตัวเองต้องตกอยู่ในมือของมัจจุราช (โรคจิต)

ผมได้ยินมาว่าเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงครับ คือในเดือนสิงหาคมและเดือนกันยายน ปี คศ.2007 ชาวประมงอายุ 70 ปีได้ลงมือฆ่าหญิงสาวสี่คนที่ Bosung จังหวัด Jeolla ทางตอนใต้ของประเทศเกาหลีใต้

แต่ในเรื่องเป็นเรื่องของคนที่ทำฟาร์มไก่ครับ ผมเข้าใจว่าเรื่องนี้น่าจะได้แรงบันดาลใจในการสร้างจากข่าวข่้างต้นมากกว่าที่จะสร้างเลียนแบบตรงๆครับ

หนังเรื่อง Missing ทำออกมาได้ลงตัวตามที่หนังแนวนี้ควรจะเป็น ลุ้นระทึกไปทั้งเรื่อง และบีบคั้นอารมณ์ความตื้นเต้นตลอดเวลา เอาใจช่วยอยากให้ตัวละครรอดตาย

ดาราที่แสดงในเรื่องครับ แสดงดีทุกคนโดยเฉพาะคนที่แสดงเป็นฆาตกร

หนังมีฉากความรุนแรงอยู่หลายฉากรวมถึงฉากวาบวิว ดังนั้นผู้ปกครองควรแนะนำลูกหลานก่อนชมครับ (แต่ผมแนะนำว่าอย่าใหู้ดูไปเลยจะดีกว่า) ในฉากจบเหมือนทิ้งเชื้อว่าจะมีภาคสองต่ออีกครับ
Credited : ข้อมูลสำหรับเขียนจาก www.hancinema.net

My rating 4/5

ชวนดูหนังสึนามิถล่มเกาหลีครับ…Haeundae 해운대 (แฮอุนแด)


แฮอุนแด Haeundae เป็นหนังไซไฟ แบบวินาศภัยจากสึนามิ (มหาสึนามิ หรือ เมกะสึนามิ) สัญชาติเกาหลี นำแสดงโดยดาราดัง ฮาจีวอนจากเรื่อง Sex is Zero ภาค 1


แฮอุนแดเป็นชื่อของหาดชายฝั่งทะเลชื่อดังของเกาหลีครับ แต่ถูกคลื่นยักษ์สึนามิ (ที่ไม่ใช่คลื่นสึนามิแบบเด็กๆ แต่เป็นเมกะสึนามิที่มีความสูง
ของยอดคลื่นตอนพัดเข้าถล่มชายฝั่งประมาณ 50 กว่าเมตรถึง 100 เมตร) ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นตึกสูงขนาดไหนก็ไม่มีหลือรอด…

อ่านต่อคลิ๊ก more ครับ


เรื่องราวในหนังเน้นภาพชีวิตผู้คนในครอบครัวที่อาศัยอยู่ตรงชายฝังของหาดดังกว่า และจู่ๆชีวิตของพวกเขาก็ต้องถึงจุดพลิกผันแบบหน้ามือไปเป็นหลังมือเมื่อคลื่นยักษ์โถมซัดชายฝังด้วยความเร็ว 800 กม.ต่อชม.ซึ่งได้กลืนกินชีวิตชาวบ้านที่อยู่ชายทะแลและคนที่มาเที่ยวตรงชายหาด

หนังเรื่องนี้กำกับโดยผู้กำกับเจ้าของผลงานหนังเรื่อง Sex is Zero และเรื่อง Miracle on 1st Street รวมถึงหนังแนวเจ้าพ่อ My Boss My Hero โดยความร่วมมือกับ CJ Entertainmentหนังเรื่องนี้เป็นงานยักษ์ที่ทุ่มงบกว่า 15,000 ล้านวอน หรือประมาณ 450 ล้านบาทไทย เนรมิตรทุกอย่างให้ออกมาสมจริง

ความคิดเห็นของผมหลังจากที่ดูเรื่อวนี้จบ
ผมได้ดูเรื่องแฮอุนแดเมื่อคืนนี้เองครับ หนังเปิดเรื่องอย่างเรื่อยๆ ตัดภาพสลับไปที่ครอบครัวหลักๆที่เกี่ยวกับกับชายหาดแฮอุนแด เน้นไปทีละครอบครัวแต่ทุกครอบครัวก็เกี่ยวพันกันอยู่ผ่านทางตัวละครหลักของเรื่อง ขณะที่เหตุการณ์แผ่นดินไหวใต้ทะเลจากทางฝั่งญี่ปุ่นถูกเตือนให้ทราบโดย
นักวิทยาศาสตร์ทางทะเล แต่ไม่มีใครเชื่อว่าจะเกิดขึ้นจริง (ตามสูตร) และในที่สุดเมื่อเหตุการณ์มาถึงจุดที่กลับไปดังเดิมไม่ได้ ทุกคนมีเวลาเพียง 10 นาที (ใครจะรอด แค่สิบนาทีเอง) ที่จะหนี ตอนแรกนึกว่าแค่ขึ้นไปตึกสูงๆแล้วจะรอด แต่ที่ไหนได้เจ้ามหาสึนามิมันมาแบบสูงกว่าตึกสิบชั้นอีก ก็ไม่มีทางรอด
เทคนิคพิเศษเนียนพอใช้ ไม่ถึงกับเนียนเท่าหนังฮอลีวู้ดครับ แต่ก็ได้มาตรฐานสากล เสียดายที่หนังไม่ได้เน้นดนตรีประกอบแบบโครมครามตามแบบหนังฮอลีวู้ด และจุดเร่งอารมณ์ไม่ได้เต็มที่นัก เพราะหนังต้องเฉลี่ยให้กับหลายๆครอบครัวที่ต้องใส่เข้ามาในเหตุการณ์ ดังนั้นด้วยความยาวประมาณ 98 นาทีก็เป็นโจทย์ที่โหดเอการสำหรับหนังแบบนี้ ทีาสำคัญฉาก climax ก็ทำได้ดูแล้วสั้นไปนิดครับ ไม่อิ่มและจุใจให้สมกับที่รอมาประมาณเกือบชั่วโมงครึง สรุปแล้วชอบครับ แต่ไม่ถึงกับเป็นหนังหายนะจากภัยธรรมชาติที่สุดยอดมากนัก หลังจากดูจบก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเป็นเราจะเอาตัวรอดยังไง? สามดาวครึ่งเต็มห้าดาวครับ…

Truck เมื่อคนขับรถบรรทุกต้องพบกับฆาตกรโรคจิต


Truck เป็นหนังเกาหลี ที่เข้าฉายในปี 2007

- เนื้องเรื่องเกี่ยวกับ คนขับรถบรรทุกที่ต้องทำทุกทางเพื่อหาเงินมารักษาลูกสาวตัวเล็กๆที่ป่วยเป็นโรคหัวใจ จนตัวเองต้องไปเกี่ยวข้องกับฆาตกรโรคจิต ฆ่าต่อเนื่อง เข้าโดยที่ไม่มีหนทางหนี
- หนังดูสนุกได้เรื่อยๆจนจบ แต่ไม่ถึงกับดีมากๆ หนังสะท้อนภาพพ่อคนหนึ่งที่รักลูกมากๆได้ดีมาก แต่เรื่องอารมณ์ไม่ถึงกับนำเสนอได้เต็มที่ และไม่ได้จบแบบทำร้ายจิตใจคนดูครับ ความดีเด่นต้องยกให้กับนักแสดงนำที่เล่นเป็นคนขับรถบรรทุกกับฆาตกรโรคจิต…สามดาวครึ่งเต็มห้าดาวครับ!


เครดิต http://www.hancinema.net/korean_movie_Truck.php

Google logo วันที่ 5 ธันวาคม 2552 เรารักในหลวง...


Google วันนี้ครับ…”เรารักในหลวง”
…ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ ครับ…

โยชิโอะ อุสึอิ เจ้าของผลงานการ์ตูนเรื่อง ” ชินจัง จอมแก่น ” เสียชีวิต…

น่าเสียดายครับที่ต่อไปเราจะไม่มีการ์ตูนสนุกๆเรื่องชินจังให้อ่านอีกแล้ว ยกเว้นแต่ทาง สนพ. จะฟอร์มทีมนักเขียนขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่แทน

ข่าวจากมติชนออนไลน์

พบศพ”นักเขียนชินจัง”แล้ว ที่จังหวัดกุมมะ นอนอยู่ใต้ก้อนหิน (มติชนออนไลน์)

จากกรณีที่มีข่าวนายโยชิโอะ อุสึอิ เจ้าของผลงานการ์ตูนเรื่อง ” ชินจัง จอมแก่น ” ได้หายตัวไประหว่างปีนเขา ล่าสุดสำนักข่าวต่างประเทศรายงาน โดยอ้างสถานีโทรทัศน์ทีบีเอสของญี่ปุ่นว่า ขณะนี้ได้พบศพของนายโยชิโอะ นักเขียนการ์ตูน ชินจัง ชาวญี่ปุ่น ชื่อดัง วัย 51 ปี เจ้าของผลงานซีรีย์การ์ตูนยอดนิยม ” เครยอน ชินจัง ” หรือ ” ชินจัง จอมแก่น “ ที่ได้รับความนิยมจากหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นของญี่ปุ่น ระบุชี้ชัดว่าเป็นร่างของนักเขียน ชินจัง จากการสันนิษฐานเสื้อผ้า และเครื่องแต่งกายของศพ

ร่างของนายอุสึอิ ผู้เขียน ชินจัง ถูกพบบริเวณใต้ก้อนหิน ของภูเขาจังหวัดกุมมะ ประเทศญี่ปุ่น เมื่อเวลา 15.53 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือราว 14.00 น. ตามเวลาประเทศไทย หลังสำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่านายอุสึอิ ได้หายตัวไปจากบ้านพัก ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา โดยสื่อท้องถิ่นเผยว่านักเขียนการ์ตูนออกเดินทางไปปีนเขา เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมาม มีรายงานจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ตรวจพบสัญญาณมือถือของนายอุสึอิ ก่อนที่หายตัวไป พบว่าอยู่บริเวณเมืองคารุอิซาว่า จ.นางาโนะ ซึ่งห่างจากเมืองคาซึคาเบะ บ้านของเขาราว 100 กิโลเมตร ที่สำคัญบริเวณดังกล่าวมีสภาพภูมิประเทศเป็นเทือกเขา และอยู่ติดกับจังหวัดกุมมะพอดี

นาซ่า (NASA) ค้นพบน้ำบนดวงจันทร์!



วันนี้โลโก้ที่ page หน้าแรกของ google เป็นรูปดวงจันทร์ครับ ก็เลยคลิ๊กเข้าไปดูด้วยความแปลกใจว่าทำไม เอารูปดวงจันทร์มาลง (ถ้าเอาเมาส์ชี้ที่ logo ของ google จะขึ้น pop-up ว่า “Discovery of Water on the Moon” ครับ)


ก็เลยเจอข่าวนี้ครับ

ข่าวใหญ่ สำหรับนักวิทยาศาสตร์ในนาซ่า (NASA) และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก!
นาซ่าค้นพบน้ำบนดวงจันทร์เมื่อเดือนที่แล้ว จากการทดลองที่เรียกว่าL-Cross experiment ทำให้นาซ่าพบว่าบนดวงจันทร์มีน้ำ การค้นพบนี้ทำให้ความหวังที่จะไปตั้งฐานทดลองทางวิทยาศาสร์เพื่อมวลมนุษย์ชาติสามารถเกิดขึ้นได้จริง

ดีเลยครับ มนุษย์จะได้มีทางเลือกเผื่อเอาไว้ ถ้าโลกใบนี้มันเน่าจนอยู่ไม่ได้แล้ว

ข่าวจากNECN.Com Sci-tech

สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี คนที่ 25 ของไทย ถึงแก่อสัญกรรมจากโรคมะเร็ง

ได้เห็นข่าวนี้เมื่อเช้าแล้วช็อคครับ ถึงแม้ว่าจะได้ยินข่าวลือมาบ้างเหี่ยวกับโรคที่ลุงสมัครป่วยหลังจากที่ถูกปลดออกจากนายกเพราะรายการอาหารเป็นต้นเหตุ… RIP ครับลุงสมัคร…

“เวลา 08.48 น. วันที่ 24 พ.ย. เป็นวันปิดฉากชีวิตของชายชื่อ สมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี คนที่ 25 ของไทย ที่ถึงแก่อสัญกรรมจากโรคมะเร็ง ที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ผู้ซึ่งทุกบทบาท ทุกย่างก้าว ล้วนแต่เป็นที่สนใจจับตาของคนทั่วไปตลอด 41 ปีที่อยู่ในแวดวงการเมือง”

เครดิต : ข่าวบางส่วนและภาพประกอบจาก นสพ.ไทยรัฐออนไลน์ อ่านข่าวเต็มที่ไทยรัฐออนไลน์ครับ

อากิระ AKIRA…การ์ตูนไซไฟแบบฮาร์ดคอ

AKIRA (1988) เป็นหนังการ์ตูนแบบ animation sci-fi ที่จากการ์ตูนชื่อดังแนวไซไฟของ อาจารย์ปรมาจารย์นักเขียนการ์ตูนชาวญี่ปุ่นที่ชื่อโอโตโมะ คัสซุฮิโร… ท่านใดเป็นอ่านอ่านการ์ตูนวัยมากกว่าสามสิบปีขึ้นไปคงจำเรื่องนี้ได้ดี
AKIRA ถูกทำเป็นหนัง amination (ในชื่อไทยตอนที่เอามาฉายในโรงคือ “ไม่ใช่คน” ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ เพราะผ่านมาหลายปีมากๆ สมัยที่ผมยังเปิดตำราจีบสาวคนแรกๆอยู่เลย) ซึ่ง animation บนจอเงิน (หนังโรง) นี้เป็นแบบฉบับรวบรัดเนื้อหา เนื้อเรื่องจะจบลงที่อากิระปล่อยพลังออกมาทำลายโตเกียว ส่วนในหนังสือการ์ตูนจำนวน 8 เล่มจบจะมีเนื้อหา เรื่องราว ที่เป็นเสมือนภาคต่อของเวอร์ชั่นหนัง ที่ยาวและซับซ้อนมากในส่วนของโครงเรื่องและ plot…อ่านต่อคลิ๊ก More…

โดยรวมแล้วversion หนังการ์ตูนโรงทำออกมาได้สุดยอด สมเป็นหนังการ์ตูนไซไฟอีกเรื่อง เนื้อเรื่อง concept ถ้าเป็นยุคสมัยนั้นจัดว่าเจ๋งสุดๆ (แม้กระทั่งล่าสุดผมเอามาดูก็ยังจัดว่าคลาสสิกอยู่ครับ) เนื้อเรื่องเป็นเรื่องของการทดลองมนุษย์ที่มีพลังพิเศษโดยรัฐบาลญี่ปุ่น แต่ถ้าเป็นสมัยนี้เนื้อเรื่องแบบนี้ก็ธรรมดาไปแล้ว ซึ่งเห็นได้โดยดาดดื่นตามหนังฮิตๆแบบตลาดๆทั่วไป
version ฉบับ re-mastered ออกมาเมื่อประมาณ 5-6 ปีที่แล้ว ด้วยการเอา version แรกที่ออกฉายครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีโน้นมาปรับปรุงสีสันของภาพและเสียง sound effect ใหม่หมดครับ โดยเฉพาะดนตรีประกอบนี่สุดยอดยิ่งใหญ่มาก (ในแผ่นดีวีดีมีเบื้องหลังงานสร้างให้ชมด้วย)
ถ้าอยากดูแบบสนุกๆจบภายในประมาณชั่วโมงครึ่งก็เลือก version หนังโรงครับ แต่ถ้าจะเอาแบบเต็มๆก็ต้องไปหาหนังสือมาอ่านครับ แต่อาจจะหาซื้อยากไปนิดนึงเพราะเป็นการ์ตูนที่ตีพิมพ์นานมากแล้ว…. ที่จตุจักรอาจจะยังมีอยู่ครับ
AKIRA เป็นการ์ตูนไซไฟแบบจริงจังดำเนินเรื่องอย่างเคร่งเครียดตั้งแต่ต้นจนจบ ท่านใดที่ไม่ชอบแนวนี้อาจจะดูแล้วเบื่อๆได้

Astro Boy เจ้าหนูอะตอม … ข้อเท็จจริงที่คุณรู้หรือเปล่า?

Astro Boy เจ้าหนูอะตอม … ข้อเท็จจริงที่คุณรู้หรือเปล่า?

1) Astro Boy หรือบ้านเรารู้จักในชื่อ เจ้าหนูปรมาณู
2) เจ้าหนูปรมาณู ในชื่อไทยที่คนไทยรู้จักดี มีสามชื่อ คือ Astro Boy และ เจ้าหนูปรมาณู และ เจ้าหนูอะตอม
3) ปรากฎตัวในรูปแบบการ์ตูนภาพครั้งแรกเมื่อ ปี 1951 โดยอาจารย์นักเขียนการ์ตูนที่ชื่อ เท็ตซึกะ โอซามุ

4) สร้างเป็นการ์ตูนขาวดำในทีวี ปี 1963


5) เจ้าหนูปรมาณูกลายเป็นการ์ตูนโดยฝีมือนักวาดชาวอเมริกัน เปิดตัวฉายปี 2003 ออกอากาศใน 40 ประเทศ รวมถึงญี่ปุ่นและอเมริกาคว้าตำแหน่งการ์ตูนที่มีผู้ชมสูงสุด อันดับ 1 ในช่วงเวลา 2 ปีที่ออกอากาศ
6) อาจารย์เท็ตซึกะ ได้รับการยกย่องให้เป็น เทพแห่งมังงะ (มังงะ=หรือ Manga ในความหมายคือหนังสือการ์ตูนของญี่ปุ่น) และ บิดาแห่งอะนิเมะ จนถึงขั้นมีการนำรูปของอาจารย์เท็ตซึกะไปพิมพ์ลงบนแสตมป์… อ่านต่อคลิ๊ก More


7) ปี 2004 เจ้าหนูปรมาณูได้รับเกียรติให้ไปอยู่ใน หอเกียรติยศ หุ่นยนต์เคียงคู่กับหุ่น ซี-ทรีพีโอ (เรื่อง Star Wars) กับหุ่นยนต์ร็อบบี้ จากเรื่อง Forbidden Planet

เจ้าหนูปรมาณู version ล่าสุดโดยผู้กำกับ เดวิด โบเวอร์ส (Flushed Away)
เดวิด โบเวอร์ส (Flushed Away)
9) แนวเรื่องคือการ์ไซไฟที่ผู้กำกับ เดวิด โบเวอร์ส ยกให้เทียบเท่าเรื่องราวที่ไร้กาลเวลาเช่นเดียวกับเรื่อง Oliver Twist และ Pinocchio
10) ความยาวในการฉาย 94 นาที พากย์เสียง ดร.เท็นมะ โดย นิโคลัส เคจ และ เอ็ดดี้ ไฮเมอร์นักแสดงเด็กคนเก่ง พากย์เสียงเป็นเจ้าหนูปรมาณู

เครดิตข้อมูลจาก นิตยสาร Entertain ฉบับที่ 1052 …

“ผมยังไม่ได้ดูการ์ตูนเรื่องนี้เลยครับ สงสัยคงต้องรอแผ่นดีวีดีอย่างเดียว เพราะช่วงนี้หาเวลาว่างยากมาก การเอาการ์ตูนเก่า (ที่เคยโด่งดัง) มารีเมคใหม่ก็มีข้อดีข้อเสีย ข้อดีคือ ทำให้แฟนรุ่นเก่าหายคิดถึงการ์ตูนที่เคยเป็นเรื่องโปรดตอนเด็กและบางทีก็ลืมเลือนไปแล้วและเทคโนโลยีทางด้านภาพกราฟฟิกที่ทำให้ภาพบนจอเงินออกมาสมจริงและมีมิติมากขึ้น รวมถึงเสียง sound effect ต่างๆในเรื่อง
ข้อเสียคือ…ความคลาสสิกของลายเส้นจะถูกแทนที่ด้วยภาพลายเส้นที่เกิดจากการวาดของชิปซิคอนกราฟฟิกที่มีประสิทธิภาพในการทำงานมากกว่าคอมพิวเตอร์เมนเฟรมในยุคสงครามโลกซะอีก บางทีเจ้าชิปที่สร้างขึ้นจากทรายละเอียดนี้อาจจะกลืนเอาความคลาสสิกของการ์ตูนเก่าๆจนหายไปจากความทรงจำ…”

ชวนคุยเรื่องการ์ตูนเก่าครับ…การ์ตูนเรื่อง Sprinter สปรินเตอร์ ถูกนำมาตีพิมพ์ใหม่แล้วครับ!



สองสามวันที่ผ่านมา แว่บไปอัพเดตการ์ตูนออกใหม่ที่ร้านประจำ เจอการ์ตูนเรื่องนี้เข้าจังๆเลยครับ…”Sprinter สปรินเตอร์” เล่าเรื่องของ “ยูกิ ฮิคารุ ชายหนุ่มวัย 16 ปี ผู้มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งการเงินและฐานะทางสังคม แต่โชคชะตา ฟ้าลิขิต และ+กับความตั้งใจที่จะเป็นนักวิ่ง 100 เมตรที่เร็วที่สุดในโลก”


ครั้งแรกผมอ่านในช่วงที่การ์ตูนไม่มีระบบ license เข้าควบคุม หลายสิบปีมาแล้วครับ ตอนนั้นใครอยากแปล พิมพ์ ขายเรื่องไหนก็ได้ (จำได้ว่าในยุคนั้น มีการ์ตูนให้อ่านเยอะมากๆ แถมไม่ต้องรออ่านแบบต่อเล่มนานเหมือนปัจจุบัน จบเล่มหนึ่ง รอแค่เดือนเดียวเล่มสอง สาม สี่ ก็ตามมาเป็นหางว่าว) …อ่านต่อ click More ครับ


ท่านใดเป็นแฟนอาจารย์ นักเขียน Koyama Yuu อาจจะจำได้ว่า นอกจาก Sprinter แล้ว ยังมีอีกเรื่องคือ เรื่อง “ไอ…ผู้มาเยือน” ที่ สนพ.วิบูลย์กิจเคยนำมาลงใน นิตยสารรายสัปดาห์ที่ชื่อ Animate Weekly (น่าจะจำไม่ผิด เอ๊ หรือเป็น นิตยสาร Monthly หว่า???…ลงพร้อมๆกับเรื่อง วิงแมน ในAnimate Weeklyครับ) โดยที่ ไอ…ผู้มาเยือนเล่าเรื่องของ “เด็กที่ถูกส่งมาจากโลกอนาคตมายังปัจจุบันเพื่อจัดการกับมนุษย์ต่างดาวที่ควบคุมโลก” (ถ้าจำ plot ไม่ผิดนะครับ) แต่ใครส่งเขามานั้นต้องไปหาอ่านเอาเองครับ หักมุมในตอนจบด้วยครับ แต่อาจจะหาอ่านยากสักนิด ผมมีอยู่ชุดนึง เป็นฉบับผี ตอนนี้ไม่รู้ไปอยู่ส่วนไหนของบ้านแล้ว จำได้ว่าในยุคนั้นเรื่องนี้ดังและอ่านสนุกมากๆ (ยิ่งเขียน ยิ่งเผยธาตุแท้ออกมาว่าอายุเยอะ แหะๆ)
ไม่แน่ใจว่า Sprinter จะพิมพ์รวมออกมากี่เล่ม แต่ไม่น่าจะเยอะมาก เพราะจำได้เลาๆว่า เรื่องนี้ตอนลงใน Monthly จบเร็วเหมือนกัน ตอนจบนี่อึ้งเลยครับ…ตอนแรกก็งงว่าจะจบยังไงสำหรับการ์ตูนแนวนักวิ่ง ฮิคารุได้เข้าสู่…. (อุ๊บ ไม่บอกครับ… ต้องหาอ่านเอาเอง)

เรื่อง เก็งกิ ก็ถูกนำมาพิมพ์ใหม่ครับ เป็นผลงานของอาจารย์ Koyama เหมือนกัน


ต้องขอบคุณ สนพ. TKO Classic ครับที่ซื้อ license จาก สนพ.Shogakukan ของญี่ปุ่น นำมาพิมพ์ใหม่ให้นักสะสมรุ่นเก่าได้อ่านอีกครั้ง

เพิ่มเติม : เรื่อง ไอ ผู้มาเยือน นี่ผมเห็นราคาทั้งชุดมี 8 เล่มครับ ขายอยู่ที่ 1200! (จากเล่มละ 20 บาทเอง) โอ้ว พระเจ้า…ราคามันขึ้นไปขนาดนั้นเลยเหรอ รู้งี้ตอนนั้นซื้อเก็บไว้เก็งสัก 10 ชุดดีกว่า ^_^ ท่านใดสนใจลองค้นดูได้จาก google ครับ…เป็น เวปที่ใช้ Pantipmarket เป็น host ประกาศขาย